Thursday, January 30, 2014

เอ็นร้อยหวาย

 2
     เอ็นร้อยหวาย หรือ Tendocalcaneus หรือ Achilles tendon เป็นเอ็นที่มีขนาดใหญ่และแข็งแรงที่สุดในร่างกายมนุษย์ ซึ่งเป็นส่วนของกล้ามเนื้อแกสทรอคนีเมียส (gastrocnemius muscle) และกล้ามเนื้อโซเลียส (soleus muscle)  ที่ยื่นต่อลงไปเกาะที่กระดูกส้นเท้า (calcaneus bone) ทำหน้าที่ในการเหยียดเท้า
     การบาดเจ็บต่อเอ็นร้อยหวายมักเกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อแบบ eccentric contraction หรือการหดตัวขณะที่ความยาวของกล้ามเนื้อยืดออก เช่น ขณะเริ่มกระโดด หัวเขาจะเหยียดตรงและข้อเท้ากระดกขึ้น ดังนั้นหากมีการฉีกขาดของเอ็นร้อยหวายเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ก็จะทำให้ไม่สามารถกระโดดหรือยืนเขย่งบนปลายเท้าข้างนั้นได้ ซึ่งสามารถรักษาได้โดยการเย็บซ่อมและดามข้อเท้าไว้จนเส้นเอ็นสมานกัน
1
     ขอบคุณภาพจาก: http://andreacollo.files.wordpress.com/2012/12/achilles_tendon.jpg
vStudy Team. (เรียบเรียงโดย: สุวิชา ธงพานิช)
Website: vStudyapp.com
Facebook: http://www.facebook.com/vstudyapp
Twitter: @vStudyapp

อาณาจักรสิ่งมีชีวิต

 2
     แนวคิดในการจำแนกสิ่งมีชีวิตนั้น ได้มีนักวิทยาศาสตร์หลายท่านคิดวิธีการ รูปแบบ ขั้นตอนต่างๆ ออกมามากมายตามเกณฑ์การจำแนกที่แตกต่างกันไป แต่ที่เป็นที่ยอมรับมากที่สุดในปัจจุบันก็คือแนวคิดของ Robert Whittaker ซึ่งได้แบ่งสิ่งมีชีวิตออกเป็น 5 อาณาจักร ดังนี้
     1. อาณาจักรมอเนอรา (Kingdom Monera) เป็นอาณาจักรของสิ่งมีชีวิตจำพวกโพรคาริโอต (prokaryotic cell) คือพวกที่เซลล์ไม่มีเยื่อหุ้มนิวเคลียส ทำให้สารพันธุกรรมกระจายอยู่ทั่วเซลล์ เช่น พวกเบคทีเรียต่างๆ และสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน เป็นต้น
     2. อาณาจักรโพรติสตา (Kingdom Protista) เป็นกลุ่มของสิ่งมีชีวิตจำพวกยูคาริโอต (eukaryotic cell) หรือพวกที่มีเยื่อหุ้มนิวเคลียสกลุ่มแรกๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว หรือหลายเซลล์ที่ยังไม่มีการพัฒนาเป็นเนื้อเยื่อ รวมทั้งพวกที่มีลักษณะของทั้งพืชและสัตว์รวมกัน เช่น อะมีบา ยูกลีนา พารามีเซียม สาหรายหลายชนิด และราเมือก เป็นต้น
     3. อาณาจักรฟังไจ (Kingdom Fungi) เป็นกลุ่มของสิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถสร้างอาหารได้เอง แต่จะได้รับอาหารจากการดูดซึมจากภายนอก โดยการปล่อยเอมไซม์ออกไปย่อยอาหารภายนอกเซลล์ เช่น ราน้ำ ราขนมปัง เห็ด และยีสต์ เป็นต้น
     4. อาณาจักรพืช (Kingdom Plantae) ได้แก่ สิ่งมีชีวิตที่เป็นยูคาริโอตหลายเซลล์ และมีการพัฒนาเป็นเนื้อเยื่อร่วมกันทำงานในระบบอวัยวะ และสามารถสร้างอาหารได้โดนการสังเคราะห์ด้วยแสง ได้แก่ มอส เฟิร์น สน หญ้าถอดปล้อง ปรง และพืชดอก เป็นต้น
     5. อาณาจักรสัตว์ (Kingdom Animalia) ได้แก่ สิ่งมีชีวิตยูคาริโอตหลายเซลล์ มีการพัฒนาเป็นเนื้อเยื่อทำงานร่วมกันเป็นระบบอวัยวะ แต่ไม่สามารถสร้างอาหารโดยการสังเคราะห์ด้วยแสงเองได้ ต้องอาศัยอาหารจากสิ่งมีชีวิตอื่น ได้แก่ ฟองน้ำ ดอกไม้ทะเล พยาธิต่างๆ ปลา ไส้เดือน แมลง สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก สัตว์ปีก และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม เป็นต้น
1
vStudy Team. (เรียบเรียงโดย: สุวิชา ธงพานิช)
Website: vStudyapp.com
Facebook: http://www.facebook.com/vstudyapp
Twitter: @vStudyapp

Tuesday, January 21, 2014

สาร(เคมี)กำจัดศัตรูพืช ตอนที่ 2

2
     ครั้งที่แล้วผมได้นำเสนอให้ทุกท่านรู้จักกับ สารเคมีกำจัดศัตรูพืช หรือที่เรียกกันติดปากว่า "ยาฆ่าแมลง" กันไปแล้วนะครับ วันนี้เลยจะขอมานำเสนอรูปแบบของสารเคมีกำจัดศัตรูพืชกันต่อเลยนะครับ
     ปัจจุบัน ในประเทศไทยยังไม่สามารถผลิตสารตั้งต้น (Active Ingredient) จึงต้องนำเข้าสารเคมีทั้งแบบสำเร็จรูปและแบบเข้มข้นทั้งประเภท premix และ technical grade เพื่อมาปรุงแต่งและแบ่งบรรจุ สารเคมีที่ปรุงแต่งเสร็จแล้วจะมีสารออกฤทธิ์ที่น้อยลง เนื่องจากผ่านการเติมสารผสม (Inert Ingredients) เช่น สารจับใบ สารละลาย สารลดแรงตึงผิว เป็นต้น เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการใช้ อย่างไรก็ตาม สารผสมเหล่านี้อาจมีความอันตรายเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น สารลดแรงตึงผิวที่ใช้ผสมกับราวด์อัพ (ไกลโฟเสท) เป็นต้น ที่น่าสนใจคือมีการผสมสารที่ทำให้อาเจียนในสารเคมีกำจัดศัตรูพืชบางชนิด เพื่อลดการเกิดพิษในกรณีที่ถูกใช้ในทางที่ผิด เช่น การฆ่าตัวตาย หรือเมื่อรับสารเข้าไปโดยอุบัติเหตุ
     สารเคมีกำจัดศัตรูพืชยังมีรูปแบบที่หลากหลาย ชนิดผงมีอยู่ 3 รูปแบบ คือ
     1) ผงฝุ่นละเอียด (Dustable powder: DP) ที่เอาไว้โรยและไม่ต้องผสมน้ำ แต่สารเคมีอาจฟุ้งกระจาย
     2) ผงผสมน้ำ (Wettable powder: WP) ที่ต้องใช้ทันทีเพื่อไม่ให้ตกตะกอน
     3) ผงแบบละลายในน้ำได้ (Soluble power: SP) ซึ่งจะไม่ตกตะกอน แต่เมื่อเก็บไว้นานๆ มักจับตัวเป็นก้อนแข็ง
     นอกจากนี้ ยังมีในส่วนที่เป็นรูปแบบเม็ด (Tablet: TB หรือ WT) แต่ไม่ค่อยเป็นที่นิยม เพราะมีลักษณะคล้ายคลึงกับยารักษาโรค รูปแบบเม็ดทราย (Granule: GR) เพื่อใช้หว่านหรือหยอดในดินเท่านั้น ห้ามละลายน้ำ ออกฤทธิ์ซึมเข้าไปผ่านระบบราก
     สารเคมีในรูปแบบของเหลว มีอยู่ประมาณ 5 รูปแบบ คือ
     1) ส่วนผสมสารเข้มข้น (Emulsifiable Concentrate: EC) ซึ่งเป็นรูปแบบที่นิยมมากที่สุด ต้องผสมน้ำก่อนใช้ มีสีขาวขุ่นและกลิ่นเหม็น สามารถดูดซึมได้ดีจึงต้องใช้อย่างระมัดระวัง
     2) แคปซูล (Capsule Suspension: CS) ที่มีสารเคมีรูปแบบของเหลวอยู่ข้างใน และจะซึมออกช้าๆ มีฤทธิ์คงทนยาวนาน 
     3) สารเข้มข้นแขวนลอย (Suspension Concentrate: SC) โดยสารออกฤทธิ์จะเป็นของแข็งแขวนลอยในสารละลายไม่ออกฤทธิ์
     4) สารเข้มข้นละลายได้ (Soluble Concentrate: SL) ซึ่งสารออกฤทธิ์จะละลายในน้ำหรือแอลกอฮอล์ได้ดี
     5) ของเหลวปริมาตรต่ำ (Ultra Low Volume Liquid) ที่ใช้สำหรับเครื่องพ่น อาจนับได้ว่าเป็นแบบ EC ชนิดพิเศษ
     ขอขอบคุณข้อมูลจาก: เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thailand Pesticide Alert Network: Thai-PAN)
vStudy Team. (เรียบเรียงโดย: สุวิชา ธงพานิช)
Website: vStudyapp.com
Facebook: http://www.facebook.com/vstudyapp
Twitter: @vStudyapp

Monday, January 20, 2014

สาร(เคมี)กำจัดศัตรูพืช ตอนที่ 1

6
     ในปัจจุบันเรามักจะได้ยินคำว่า ยาฆ่าแมลง หรือยาฆ่าหญ้า กันทางสื่อต่างๆ ไม่เว้นแต่ละวันนะครับ ซึ่งแต่เดิมสิ่งที่นำมาใช้ในการกำจัดศัตรูพืชก็คือสิ่งที่หาได้จากธรรมชาติ และวิธีการทางธรรมชาติที่เรียกว่า "การควบคุมโดยชีววิธี" แต่ในปัจจุบันได้เริ่มมีการพัฒนาสูตรสารเคมีต่างๆ ขึ้นมามากมายเพื่อใช้ในการกำจัดศัตรูพืช โดยที่ "สารเคมีกำจัดศัตรูพืช (pesticide)" ก็คือ สารเคมีสังเคราะห์ที่มีวัตถุประสงค์ในการกำจัด ขับไล่ หรือหยุดยั้งการเจริญเติบโตของศัตรูพืช ไม่ว่าจะเป็นแมลง วัชพืช โรคพืช หรือสิ่งที่จะทำลายให้พืชผลเกิดความเสียหาย โดยทั่วไปเรียกว่ายาฆ่าแมลงหรือยาฆ่าหญ้าตามวัตถุประสงค์ของการใช้ แต่การใช้คำว่า “ยา” อาจเป็นการสร้างความสับสนต่อผู้ใช้ เพราะสารเคมีกำจัดศัตรูพืชเป็นสารเคมีอันตรายทั้งต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ต้องมีการใช้อย่างระมัดระวัง เพราะในปริมาณน้อยนิดสารเคมีเหล่านี้ก็สามารถทำให้เกิดอาการพิษต่างๆ หรือแม้แต่การเสียชีวิตได้
     สารเคมีกำจัดศัตรูพืชถูกแบ่งออกเป็นกลุ่ม ตามลักษณะทางเคมี โดยมีกลุ่มหลักๆ ต่อไปนี้
1
2
3
4
5
     ขอขอบคุณข้อมูลจาก: เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thailand Pesticide Alert Network: Thai-PAN)
vStudy Team. (เรียบเรียงโดย: สุวิชา ธงพานิช)
Website: vStudyapp.com
Facebook: http://www.facebook.com/vstudyapp
Twitter: @vStudyapp

สถานะของสาร

 2
     สารต่างๆ ในธรรมชาติ โดยทั่วไปแล้วแบ่งออกได้เป็น 3 สถานะ คือ ของแข็ง ของเหลว และก๊าซ ซึ่งสาร 1 ชนิดอาจมีได้ทั้ง 3 สถานะก็ได้ เช่น น้ำ น้ำแข็ง และไอน้ำ โดยทั้ง 3 สถานะของสารจะมีความแตกต่างกัน ดังนี้
     ของแข็ง (solid)
     มีปริมาตรและรูปร่างที่แน่นอน ทำให้ไม่สามารถกดอัดให้มีปริมาตรลดลงได้ และจะคงทนสภาพเช่นเดิมอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากอนุภาคของสารจะอยู่ชิดแน่นกันมาก และจะมีแรงดึงดูดระหว่างกันมากด้วย เช่น ของใช่ต่างๆ โลหะ ปากกา ยางลบ แท่งไม้ แท่งเหล็ก ฯลฯ
     ของเหลว (liquid)    
     มีปริมาตรที่แน่นอนแต่มีรูปร่างไม่แน่นนอน โดยจะไม่สามารถกดอัดให้ลดปริมาตรได้ แต่จะสามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างไปตามภาชนะที่บรรจุได้ เนื่องจากมีอนุภาคของสารอยู่กันอย่างหลวมๆ และนอกจากนี้ยังมีสมบัติการไหล โดยจะไหลจากที่สูงไปสู่ที่ต่ำ และสามารถระเหย (การเปลี่ยนสถานะจากของเหลวไปเป็นไอ) ได้
     ก๊าซ (gas)
     ปริมาตรและรูปร่างไม่แน่นอน แต่สามารถขยายตัวตามภาชนะที่บรรจุได้ โดยจะสามารถบีบอัดให้มีปริมาตรลดลง หรือ เพิ่มให้มีปริมาตรมากขึ้นก็ได้ เพราะอนุภาคของก๊าซจะอยู่ห่างกันมากๆ ทำให้สามารถเคลื่อนเข้าไปชิดกันได้มาก และเคลื่อนออกจากกันได้มากด้วย
1
     ขอบคุณภาพจาก: http://www.trivedichemistry.com/WebMovie/1Chap1_files/image002.jpg
vStudy Team. (เรียบเรียงโดย: สุวิชา ธงพานิช)
Website: vStudyapp.com
Facebook: http://www.facebook.com/vstudyapp
Twitter: @vStudyapp

Sunday, January 19, 2014

ชนิดของ (เซลล์) ไข่ ตอนที่ 1

2
     สัตว์มีกระดูกสันหลังส่วนใหญ่รวมถึงมนุษย์เรา ต่างก็มีการเจริญที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงแรกของการเจริญ ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังการปฏิสนธิ ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดความแตกต่างเหล่านั้นก็คือ ชนิดของเซลล์ไข่ ที่แตกต่างกันออกไปตามแต่ละชนิดของสัตว์ โดยเซลล์ไข่สามารถแบ่งได้หลายประเภทคือ
     1. แบ่งตามปริมาณของไข่แดง (ZPML)
     1.1 ไข่ที่มีไข่แดงน้อย (PMPHPMFDJUIBM FHH) เช่น เพรียงหัวหอม เม่นทะเล และแอมฟิออกซัส เป็นต้น
     1.2 ไข่ที่มีไข่แดงปานกลาง (NFTPMFDJUIBM FHH) เซลล์ไข่จะมีขนาดใหญ่กว่าชนิดแรก เช่น กบ คางคก เป็นต้น
     1.3 ไข่ที่มีไข่แดงมาก (QPMZMFDJUIBM FHH) ไข่แดงจะอัดแน่น แยกจากส่วนของแผ่นเซลล์ที่จะเจริญต่อไปเป็นเอ็มบริย์โอ เช่น ปลา สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ปีก เป็นต้น
     1.4 ไข่ที่ไม่มีไข่แดง (BMFDJUIBM FHH) จะมีไข่แดงน้อยมากๆ หรือไม่มีเลย เช่น สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม
     2. แบ่งตามการกระจายของไข่แดง
     2.1 ไข่ที่มีไข่แดงกระจายสม่ำเสมอ (JTPMFDJUIBM FHH) ส่วนใหญ่จะมีขนาดเล็กและใส เช่น เม่นทะเล แอมฟิออกซัส
     2.2 ไข่ที่มีไข่แดงค่อนไปทางด้านหนึ่ง (UFMPMFDJUIBM FHH) ไข่มักมีขนาดใหญ่ มีไข่แดงกระจายค่อนไปทางด้านใดด้านหนึ่งมากกว่าอีกด้านหนึ่ง เช่น สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์ปีก กบ คางคก เป็นต้น
     2.3 ไข่ที่มีไข่แดงอยู่ตรงกลาง (DFOUSPMFDJUIBM FHH) จะมีไข่แดงมาก แต่สะสมอยู่ตรงกลางเซลล์ล้อมรอบแผ่นเซลล์ที่จะเจริญไปเป็นตัวอ่อนไว้
     3. แบ่งตามคลีเวจ (การแบ่งตัวหลังการปฏิสนธิ) แบบเฉพาะตัว
     3.1 คลีเวจตลอดทั้งเซลล์ เช่น เม่นทะเล แอมฟิออกซัส กบ คางคก และคน เป็นต้น
     3.2 คลีเวจเป็นบางส่วน เช่น สัตว์เลื้อยคลาน ปลา สัตว์ปีก และแมลง เป็นต้น
vStudy Team. (เรียบเรียงโดย: สุวิชา ธงพานิช)
Website: vStudyapp.com
Facebook: http://www.facebook.com/vstudyapp
Twitter: @vStudyapp

Wednesday, January 8, 2014

อะไรอยู่ในดิน!!

 2
     เคยสงสัยไหมครับว่าในดินที่เราใช้ประโยชน์ต่างๆ อยู่ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นการปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ หรือแม้แต่ปลูกสร้างต่างๆ นาๆ มันประกอบด้วยอะไรบ้าง ซึ่งในดินทั่วไปมีส่วนประกอบสำคัญอยู่ 4 ชนิด คือ อินทรีย์สาร อนินทรีย์สาร น้ำ และอากาศ ดังนี้ครับ
     สารอินทรีย์ (organic substance) เป็นสารที่เกิดจากสิ่งมีชีวิตที่เน่าเปื่อยและย่อยสลายอยู่ในดิน เช่น ซากสิ่งมีชีวิตต่างๆ เศษกิ่งไม้ ใบไม้ รวมทั้งสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่อาศัยในดิน
     สารอนินทรีย์ (inorganic substance)เป็นสารที่ไม่ได้เกิดจากสิ่งมีชีวิต ได้แก่ พวกแร่ธาตุที่เกิดจากการสลายตัวของหินแร่ต่างๆ
     น้ำ (water) ซึ่งได้มาจากน้ำฝน น้ำรดต้นไม้ และน้ำใต้ดินที่ซึมขึ้นมา
     อากาศ (air) ก็คืออากาศที่ไหลเวียนผ่านชั้นดินต่างๆ ซึ่งเป็นตัวทำให้สารต่างๆ เกิดการแลกเปลี่ยนระหว่างชั้นดินกับชั้นบรรยากาศด้วย ซึ่งดินที่เหมาะสำหรับการเจริญของพืชโดยทั่วไปจะต้องประกอบด้วยอัตราส่วนของสารต่างๆ ดังนี้
1
vStudy Team. (เรียบเรียงโดย: สุวิชา ธงพานิช)
Website: vStudyapp.com
Facebook: http://www.facebook.com/vstudyapp
Twitter: @vStudyapp

Friday, January 3, 2014

พลูโต: (อดีต)ดาวเคราะห์ดวงที่ 9

 2
     ดาวพลูโต (Pluto) เป็นดาวที่อยู่ไกลที่สุด และมีขนาดเล็กที่สุดในระบบสุริยะ แต่เดิมถูกจัดเป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ไกลจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ 9 ของระบบสุริยะ ซึ่งอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์มากถึง 5,900 ล้านกิโลเมตร แต่ในบางครั้งการโคจรรอบดวงอาทิตย์ของดาวพลูโตก็ทำให้เข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่าดาวเนปจูน เนื่องจากมีการโคจรเป็นวงรี และใช้เวลาโคจรรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบเป็นเวลา 248 ปี และหมุนรอบตัวเอง 1 รอบใช้เวลา 6 วัน อุณหภูมิพื้นผิว -223 องศาเซลเซียส มีดวงจันทร์ที่ชื่อ "คารอน (Charon)" เป็นดาวบริวาร
     แต่เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2549 สมาพันธ์ดาราศาสตร์สากล (International Astronomical Unions: IAU) ได้มีมติในที่ประชุม ณ กรุงปราก สาธารณรัฐเช็ก ให้ถอดดาวพลูโตออกจากสถานภาพดาวเคราะห์ (หลังจากอยู่ในระบบมานานถึง 76 ปี) โดยให้จัดดาวพลูโตอยู่ในกลุ่ม “ดาวเคราะห์แคระ (Dwarf Planet)” เนื่องจากได้มีการตั้งข้อสรุปใหม่เกี่ยวกับคุณสมบัติของดาวเคราะห์ ไว้ว่า
     1. เป็นวัตถุบนท้องฟ้าที่โคจรรอบดาวฤกษ์ แต่ตัวเองต้องไม่เป็นดาวฤกษ์
     2. มีมวลมากพอที่จะเกิดแรงโน้มถ่วง ดึงดูดให้ตัวเองอยู่ในสภาวะสมดุลอุทกสถิต (hydrostatic equilibrium)
     3. มีวงโคจรที่ชัดเจนและสอดคล้องกับดวงดาวใกล้เคียง
     ด้วยเหตุนี้ทำให้ดาวพลูโต ไม่ใช่ดาวเคราะห์ดวงที่ 9 ในระบบสุริยะ อีกต่อไปเพราะมีวงโคจรที่ทับซ้อนกับดาวเนปจูน
1
vStudy Team. (เรียบเรียงโดย: สุวิชา ธงพานิช)
Website: vStudyapp.com
Facebook: http://www.facebook.com/vstudyapp
Twitter: @vStudyapp

ดวงอาทิตย์ (SUN)

 2
     ดวงอาทิตย์ (SUN) ถือเป็นดาวฤกษ์ขนาดใหญ่ที่เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะของเรา ที่โลก, ดาวเคราะห์อื่นอีก 7 ดวง และดวงจันทร์บริวาร รวมถึงอุกกาบาต ดาวเคราะห์แคระ และกลุ่มแก๊ส โคจรอยู่รอบมัน ทำให้ดวงอาทิตย์เปรียบเสมือนหัวใจของระบบสุริยะ
     ดวงอาทิตย์ เป็นดาวฤกษ์ทรงกลมขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างจากโลกประมาณ 150 ล้านกิโลเมตร โดยมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางยาวกว่าโลกถึง 109 เท่า มีอุณหภูมิพื้นผิวเฉลี่ยประมาณ 55,730 องศาเซลเซียส และมีแรงดึงดูดที่พื้นผิวมากกว่าโลก 28 เท่า
     ดวงอาทิตย์นับว่าเป็นแหล่งพลังงานสำคัญของโลกและระบบสุริยะทั้งหมดเลยก็ว่าได้ เพราะดวงอาทิตย์สามารถให้พลังงานได้เทียบเท่าหลอดไฟฟ้า 3,000 ล้านล้านแรงเทียน หรือ ประมาณ 400,000 ล้านล้านกิโลวัตต์ ซึ่งโลกของเราจะได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์เพียง 1 ใน 2,200 ล้านล้านของพลังงานที่ดวงอาทิตย์ให้ แต่ก็นับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อระบบนิเวศนอกจากนี้ดวงอาทิตย์ยังมีความสำคัญกับช่วงเวลาบนโลกอีกด้วย โดย โลกหมุนรอบตัวเองใช้เวลา 24 ชั่วโมง ทำให้เกิดช่วงเวลากลางวัน-กลางคืน และใช้เวลาโคจรรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบเป็นเวลา 365 วัน หรือ 1 ปี ทำให้ในช่วงปีนั้นตำแหน่งที่โลกโคจรไปจะเกิดเป็นฤดูกาลต่างๆ ในแต่ละภูมิภาคของโลก เนื่องจากความใกล้ไกลจากดวงอาทิตย์ และปัจจัยอื่นๆ ร่วมกัน
1
     ขอบคุณภาพจาก: http://www.nasa.gov/images/content/637265main_solar-anatomy-MOS-orig.jpg
vStudy Team. (เรียบเรียงโดย: สุวิชา ธงพานิช)
Website: vStudyapp.com
Facebook: http://www.facebook.com/vstudyapp
Twitter: @vStudyapp

Thursday, January 2, 2014

ระบบสุริยะ

 2
     โลกอันกว้างใหญ่ของเรานั้น ก็ถือเป็นเพียงแค่สิ่งเล็กๆ ในระบบสุริยะจักรวาล เลยก็ว่าได้ ซึ่งระบบสุริยะ ก็คือระบบที่ประกอบด้วยกลุ่มดาวและวัตถุต่างๆ ที่หมุนอยู่ในวงโคจรภายใต้แรงดึงดูดของดาวฤกษ์ ที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของระบบ เช่นดวงอาทิตย์ ก็ถือเป็นดาวฤกษ์ชนิดหนึ่งที่เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะ ที่โลกเราโคจรอยู่ร่วมกับดาวเคราะห์อื่น อีก 7 ดวง รวมเป็น 8 ดวง นอกจากนี้ยังรวมไปถึงดวงจันทร์ของแต่ละดาวเคราะห์ ดาวเคราะห์น้อย อุกกาบาต ดาวหาง และกลุ่มแก๊ส ที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ในระบบสุริยะของเรา
     ดาวเคราะห์ทั้ง 8 ดวงในระบบสุริยะ เรียงลำดับจากดวงอาทิตย์ออกไป ประกอบด้วย ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน ซึ่งดาวเคราะห์ทั้ง 8 ดวงนั้นนับว่าเป็นดวงดาวบริวารของดวงอาทิตย์ ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง สามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม โดยใช้โลกเป็นตัวแบ่งคือ ดาวเคราะห์วงใน และดาวเคราะห์วงนอก
     1. ดาวเคราะห์วงใน เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้กับดวงอาทิตย์มากกว่าโลก ได้แก่ ดาวพุธ และ ดาวศุกร์
     2. ดาวเคราะห์วงนอก เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ไกลจากดวงอาทิตย์มากกว่าโลก ได้แก่ ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน
 1
*** ดาวเคราะห์ที่เราสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าจากบนโลกก็คือ
ดาวพุธ ดาวศุกร์ ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี และดาวเสาร์ ***
     ขอบคุณภาพจาก: http://www.myfirstbrain.com
vStudy Team. (เรียบเรียงโดย: สุวิชา ธงพานิช)
Website: vStudyapp.com
Facebook: http://www.facebook.com/vstudyapp
Twitter: @vStudyapp