Monday, December 23, 2013

แนะนำสาขาวิชา : การแพทย์แผนจีน ตอนจบ

2
     มาถึงตอนสุดท้ายของการแนะนำสาขาวิชาการแพทย์แผนจีนกันแล้วนะครับ หวังว่าน้องๆ หลายคนคงพอจะได้แนวทางในการศึกษากันบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ ลองมาดูประเด็นต่อไปนี้เป็นการส่งท้ายแล้วกันครับ
     ความน่าเชื่อถือและการรับรองคุณวุฒิของแพทย์จีนในประเทศไทย
     หลักจากที่องค์การอนามัยโลก (WHO)ได้ออกมาประกาศยอมรับการแพทย์แผนจีนแล้ว ประเทศไทยก็ได้มีการทำสัญญาความร่วมมือทางการแพทย์กับสาธารณรัฐประชาชนจีน และได้มีการจัดตั้งศูนย์การแพทย์ไทย-จีน ขึ้นทำให้แพทย์จีนได้รับการยอมรับจากคนไทยมากขึ้น และในปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขได้มีการกำหนดให้แพทย์จีนในประเทศไทยที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ จะต้องเข้ารับการทดสอบปีละหนึ่งครั้งทุกปี เพื่อเป็นการสร้างมาตรฐานทางการแพทย์แผนจีน แต่ต่อไปหากมีบัณฑิตแพทย์จีนที่ศึกษาจบจากมหาวิทยาลัยในประเทศไทย ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงการเข้ารับการทดสอบโดยที่บัณฑิตแพทย์จีนจะต้องเข้ารับการทดสอบความรู้ทุก ๆ 5 ปีเพื่อต่ออายุใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
     ขอบเขตการรักษาและหลักในการทำงานของแพทย์จีน
     การแพทย์แผนจีนในประเทศไทย ขณะนี้ถึงแม้จะได้รับการยอมรับมากขึ้นและได้รับการรับรองจากหน่วยงานต่าง ๆ มากมาย แต่รัฐบาลก็ต้องมีการกำหนดขอบเขตของแพทย์จีน เพราะผลทางการรักษาของแพทย์แผนจีนยังไม่มีความชัดเจน ถึงแม้จะได้ผลดีมาโดยตลอด และได้มีการกำหนดร่างพ.ร.ฎ.กำหนด ให้สาขาการแพทย์แผนจีนเป็นสาขาการประกอบโรคศิลปะตามพ.ร.บ.การประกอบโรคศิลปะพ.ศ.2542 (ปวินท์ สุวรรณกุล, สัมภาษณ์)
     ในการรักษาของแพทย์จีนนั้นได้มีการกำหนดกฎหมายไว้ในลักษณะที่ว่า แพทย์จีนจะต้องรักษาผู้ป่วยโดยใช้ความรู้ทางศาสตร์การแพทย์แผนจีนเท่านั้น ไม่สามารถใช้การรักษาในศาสตร์การแพทย์แผนปัจจุบันได้ ซึ่งรวมไปถึงการใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ผลิตขึ้นโดยความรู้ทางด้านการแพทย์แผนปัจจุบัน เช่น เครื่องเอกซเรย์ เครื่องตรวจคลื่นหัวใจ เครื่องช่วยหายใจ เครื่องวัดความดัน รวมถึงมีด เข็มฉีดยา และอุปกรณ์ผ่าตัดอื่นๆ เป็นต้น แต่ก็ไม่ได้ถือเป็นอุปสรรค์ในการรักษาของแพทย์จีนแต่อย่างใด เพราะแพทย์จีนมีหลักในการรักษาที่อาศัยหลักการทำงานของระบบลมปราณ และความสมดุลของธาตุในร่างกาย ประกอบกับในการตรวจวินิจฉัยโดยอาศัยประสาทสัมผัส (ภาสกิจ (วิทวัส) วัณนาวิบูล 2548: 1-3) ตามหลักความรู้ที่ได้จากตำรา หวงตี้เน่ยจิง*(黄帝内经) ของแพทย์จีนโบราณ จึงไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ใดช่วย และการรักษาจะเป็นการปรับสมดุลในร่างกายโดยใช้การกระตุ้นระบบประสาทของผู้ป่วยซึ่งมีหลายวิธี เช่น การฝังเข็ม และการกดจุด เป็นต้น บางครั้งจะใช้หลักในการกระตุ้นธาตุจากภายในร่างกายโดยการใช้ยาสมุนไพร ทำให้แพทย์จีนไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์แผนปัจจุบันมาช่วยในการรักษา
     สรุป
     การแพทย์แผนจีนเป็นศาสตร์การแพทย์ที่มีคุณค่าของประเทศจีน และจากการแสดงประสิทธิภาพทางการรักษาที่ดีของแพทย์จีน ทำให้ได้รับการยอบรับอย่างแพร่หลายและรวดเร็วมากในระยะเวลาอันสั้น ประกอบกับการรักษาของแพทย์จีนมีจุดเด่นหลายอย่าง เช่น ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์หรือสารเคมีซึ่งมีความเสี่ยง ไม่เสียเวลามากในการตรวจวินิจฉัยเบื้องต้น และสามารถเข้าถึงผู้ป่วยได้ทุกภูมิภาค เป็นต้น จึงทำให้การแพทย์แผนจีนกลายเป็นการแพทย์ทางเลือกทางหนึ่งที่น่าสนใจมาก สำหรับประเทศไทยการแพทย์แผนจีนก็ถือว่ามีความสำคัญและประชาชนให้ความสำคัญมาก จึงทำให้การแพทย์แผนจีนเข้ามามีบทบาทในสังคมไทยมากขึ้นทุกวัน และมีพัฒนาการที่รวดเร็วนับจากอดีตจนถึงปัจจุบัน และจะพัฒนาต่อไปในอนาคตด้วยความรู้ของบัณฑิตไทย
     *หวงตี้เน่ยจิง(黄帝内)เป็นหนังสือตำราแพทย์ ซึ่งเป็นพื้นฐานของตำราแพทย์ในโบราณ หวงตี้เน่ยจิงมีทั้งหมด 81 บทลักษณะเป็นปุจจฉา-วิสัชนาของหวงตี้กับข้าราชบริพารเกี่ยวกับโรคภัยต่าง ๆ ส่วนแรก เรียกว่า “คำถามทั่วไป” (素問) เนื้อหากล่าวถึงพื้นฐานของยาจีนโบราณ อาการของโรค และวิธีการรักษา ส่วนที่สองเรียกว่า “จุดสำคัญในร่างกาย” หลิงซู(靈樞) ซึ่งกล่าวถึงการฝังเข็มโดยละเอียด
     แหล่งอ้างอิง
     1. ปวินท์ สุวรรณกุล. ผู้ช่วยคณบดีคณะการแพทย์แผนจีน มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ. สัมภาษณ์,7 เมษายน 2551.      
     2. ปวินท์ สุวรรณกุล. “มาเรียนแพทย์แผนจีนกันเถอะ.”  จุลสารการแพทย์แผนจีน. 4,1 (2550) : 6-9.
     3. ภาสกิจ (วิทวัส) วัณนาวิบูล. “แนวคิด: การตรวจวินิจฉัยของศาสตร์แพทย์แผนจีน.”ตำราการแพทย์แผนจีน:การตรวจวินิจฉัย, 1-3. กรุงเทพมหานคร: หมอชาวบ้าน, 2548.     
     4. มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม. วิทยาลัยการแพทย์ทางเลือก. “การศึกษาแพทย์แผนจีน มหาวิทยาลัยจันทรเกษม.” [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: http://www.chandra.ac.th/office/chaina/TCMCOM.pdf 2549.สืบค้น 4 พฤษภาคม 2551.
     5. มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย. วิทยาลัยการแพทย์พื้นบ้านและการแพทย์ทางเลือก. “พจ.บ.แพทย์จีน.”[ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: http://www.lannadoctor.com/index.php?option=com_content&task=view&id=19&Itemid=41 [ม.ป.ป.]. สืบค้น 4 พฤษภาคม 2551. 
     6. วิทิต วัณนาวิบูล. ประวัติการแพทย์จีน. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร: สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2537.    
vStudy Team. (เรียบเรียงโดย: สุวิชา ธงพานิช)
Website: vStudyapp.com
Facebook: http://www.facebook.com/vstudyapp
Twitter: @vStudyapp

แนะนำสาขาวิชา : การแพทย์แผนจีน ตอนที่ 3

2
     มหาวิทยาลัยในประเทศไทยหลายแห่งได้ทำการเปิดหลักสูตรปริญญาตรีสาขาการแพทย์แผนจีน เพื่อผลิตบัณฑิตแพทย์จีนที่มีคุณภาพโดยได้รับความร่วมมือและความช่วยเหลือจากมหาวิทยาลัยในสาธารณรัฐประชาชนจีน เช่น การสอนภาษาจีน วิชาการแพทย์จีน เภสัชจีน การฝึกงานเป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการเปิดสอนหลักสูตรประกาศนียบัตรเฉพาะด้าน ในระดับประกาศนียบัตรบัณฑิตสำหรับแพทย์แผนปัจจุบันเพื่อเป็นการเปิดมุมมองและสร้างทัศนะคติที่ดีให้แก่แพทย์แผนปัจจุบันให้เข้าใจการแพทย์แผนจีนมากขึ้น [1] การที่นักศึกษาแพทย์จีนของประเทศไทยได้มีโอกาสรับความรู้จากสาธารณรัฐประชาชนจีน นับว่าเป็นการดีสำหรับประเทศไทย และประเทศไทยควรจะต้องรักษาความร่วมมือกับจีนเอาไว้ให้ยาวนานที่สุดเพื่อการพัฒนาทางด้านการแพทย์แผนจีนของไทย
     ขณะนี้ประเทศไทยมีแพทย์จีนอยู่ทั่วประเทศ แต่ก็เป็นจำนวนน้อยมากและส่วนใหญ่ก็จะเป็นแพทย์จีนจากเมืองจีนที่อาศัยความความรู้ที่ได้รับการถ่ายทอดมาในการรักษาผู้ป่วย ดังนั้นประเทศไทยจึงต้องการ แพทย์จีนที่มีความรู้ที่เป็นมาตรฐานและได้รับการยอมรับจากกระทรวงสาธารณสุข ทำให้กระทรวง ศึกษาธิการได้มีการรับรองหลักสูตรด้านการแพทย์แผนจีนในมหาวิทยาลัยของประเทศไทย ในการผลิตบัณฑิตแพทย์จีน นอกจากนี้ยังมีหลักสูตรในระดับประกาศนียบัตรบัณฑิต และหลักสูตรเฉพาะทางที่เปิดสอนด้านการแพทย์แผนจีนให้แก่นักศึกษาไทย ดังนี้
     1 หลักสูตรระดับปริญญาบัณฑิต 
     หลักสูตรในระดับปริญญาบัณฑิต เป็นหลักสูตรที่เปิดสอนในระดับปริญญาตรี เมื่อศึกษาจบหลักสูตรแล้วจะสามารถสอบรับใบประกอบโรคศิลปะทางการแพทย์แผนจีนได้ และจะได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข หลักสูตรในระดับปริญญาบัณฑิต สาขาการแพทย์แผนจีนในประเทศไทย ได้แก่
     1.1 หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต (วท.บ.) สาขาการแพทย์แผนจีน เป็นหลักสูตรที่เปิดสอนการแพทย์แผนจีนแห่งแรกในประเทศไทย โดยคณะการแพทย์แผนจีน มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ เป็นหลักสูตร 5 ปี(สำหรับผู้ที่มีพื้นฐานทางภาษาจีน) และมีการจัดการศึกษาด้านพื้นฐานทางภาษาจีนเป็นเวลา 1 ปีให้กับนักศึกษาที่ไม่มีความรู้ทางภาษาจีน โดยได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเซี่ยงไฮ้ (Shanghai University of Traditional Chinese Medicine) โดยมีการทำสัญญาหลักสูตรร่วมระหว่างทั้งสองมหาวิทยาลัย ดังนั้นนักศึกษาที่จบหลักสูตรจะได้รับปริญญาร่วมสองสถาบัน ได้รับการยอมรับทั้งจากประเทศไทยและสาธารณะรัฐประชาชนจีน และมีสิทธิในการสอบใบประกอบโรคศิลปะ
     ผู้ที่จะเข้าศึกษาในหลักสูตรนี้ได้จะต้องจบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายแผนการเรียนวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ หรือเทียบเท่า สำหรับผู้ที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีแล้วสามารถเทียบโอนหน่วยกิจในรายวิชาที่ฃศึกษามาแล้วได้ตามระเบียบของมหาวิทยาลัย สำหรับการศึกษาหลักสูตรนี้ จะต้องศึกษาในรายวิชาหมวดต่าง ๆ ให้ครบและสอบวัดระดับความรู้ทางภาษาจีน (HSK) ได้ถึงระดับ 6 [2] และจะต้องศึกษารายวิชาต่าง ๆ ไม่ต่ำกว่า 182 หน่วยกิจ สำหรับชั้นปีสุดท้ายก่อนจะจบการศึกษาจะมีการฝึกงานทางคลินิก ช่วงแรกจะทำการฝึกงาน ณ โรงพยาบาลหัวเฉียวและโรงพยาบาลอื่นๆในประเทศไทย และช่วงที่สองจะทำการฝึกงาน ณ โรงพยาบาลการแพทย์แผนจีนเซี่ยงไฮ้ในสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยจะใช้เวลาช่วงละ 6 เดือน
     1.2 หลักสูตรการแพทย์แผนจีนบัณฑิต (พจ.บ.) สาขาการแพทย์แผนจีน ทำการสอนโดย วิทยาลัยการแพทย์ทางเลือก มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม เป็นหลักสูตร 5 ปี และมีการจัดการศึกษาด้านพื้นฐานทางภาษาจีนระยะเวลา 1 ปีให้กับนักศึกษาที่ไม่มีความรู้ทางภาษาจีน เป็นหลักสูตรที่ได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยเซียะเหมิน (Xiamen University) ดังนั้นนักศึกษาที่จบจากหลักสูตรนี้จะได้รับปริญญาร่วมทั้งสองสถาบัน และจะได้รับการยอมรับทั้งจากประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน
     ผู้ที่จะเข้าศึกษาในหลักสูตรนี้จะต้องมีคุณสมบัติ จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย หรือเทียบเท่าโดยไม่จำกัดแผนการเรียนและสามารถเทียบโอนหน่วยกิจได้สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาเป็นปริญญาใบที่สอง มีหน่วยกิจรวมตลอดหลักสูตร 194 หน่วยกิจเนื้อหารายวิชาที่ศึกษานั้นจะต่างจากคณะการแพทย์แผนจีน มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ บ้างเล็กน้อยโดยที่ในหมวดวิชาพื้นฐานวิชาชีพและวิทยาศาสตร์การแพทย์ จะไม่เน้นการศึกษาในด้านวิทยาศาสตร์มากนักเพื่อให้สอดคล้องกับหลักสูตรของมหาวิทยาลัยเซียะเหมิน ซึ่งเน้นการศึกษาการแพทย์แผนจีนโดยอาศัยหลักการทางแพทย์แผนจีนโบราณ ไม่เน้นการอธิบายทางด้านวิทยาศาสตร์ แต่สำหรับวิชาเฉพาะด้านการแพทย์แผนจีนนั้นจะมีบางรายวิชาที่เพิ่มเติมขึ้นมาเช่น ศัลยศาสตร์แพทย์จีน(ในประเทศไทยไม่สามารถใช้รักษาได้ตามกฎหมาย) และศาสตร์หูคอจมูก เป็นต้น[3] ในการศึกษาวิชาแพทย์แผนจีนของมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม จะมีอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยเซียะเหมินเป็นผู้สอน ดังนั้นการศึกษาภาษาจีนจึงมีความจำเป็นมากเช่นกัน แต่สำหรับหลักสูตรแพทย์แผนจีนบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม จะมีการกำหนดระดับของการสอบวัดระดับภาษาจีนเพียงระดับ 4 เท่านั้นตามข้อตกลงกับมหาวิทยาลัยเซียะเหมิน
     1.3 หลักสูตรการแพทย์แผนจีนบัณฑิต (พจ.บ.) สาขาการแพทย์แผนจีน ทำการสอนโดย วิทยาลัยการแพทย์พื้นบ้านและการแพทย์ทางเลือกมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เป็นหลักสูตร 5 ปี(สำหรับผู้ที่มีพื้นฐานทางภาษาจีน เป็นหลักสูตรที่ได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยแพทย์จีนหยุนหนาน(Yunnan University of Traditional Chinese Medicine) โดยในปี 1-4 จะทำการศึกษา ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และในปีที่ 5 จะทำงานศึกษา ณ มหาวิทยาลัยแพทย์จีนหยุนหนาน รวมทั้งการฝึกงานด้วยผู้ที่จะเข้าศึกษาในหลักสูตรนี้จะต้องมีคุณสมบัติ จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย หรือเทียบเท่าโดยจะต้องศึกษารายวิชาวิทยาศาสตร์มาแล้วไม่น้อยกว่า 18 หน่วยกิจ การศึกษาจะศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ผสมกับการแพทย์แผนจีนโบราณ และเน้นการใช้ยาสมุนไพร ตามหลักสูตรของมหาวิทยาลัยแพทย์จีนหยุนหนาน [4]
     2 หลักสูตรระดับประกาศนียบัตรบัณฑิต
     เป็นหลักสูตรในระดับบัณฑิตศึกษา เปิดโอกาสให้ผู้ที่ศึกษาจบในหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิตเข้าศึกษา เพื่อเป็นการเสริมความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านและสร้างทัศนะคติที่เกี่ยวกับการแพทย์แผนจีนให้กับแพทย์แผนปัจจุบัน โดยจะสอนในสาขาวิชาเฉพาะทางของการแพทย์แผนจีนเช่น การฝังเข็ม การรมยา การนวดทุยหน่า และสมุนไรจีน เป็นต้นการศึกษาในระดับนี้จะไม่สามารถสอบใบประกอบโรคศิลปะและไม่สามารถเปิดคลินิกส่วนตัวได้ เนื่องจากเป็นการศึกษาเพียงเฉพาะด้าน แต่ก็นับว่ามีความสำคัญมากต่อการพัฒนาการแพทย์แผนจีนของประเทศไทย
     3 หลักสูตรอบรมระยะสั้น
     เป็นหลักสูตรที่เปิดสอนให้แก่ประชาชนทั่วไป เพื่อให้มีความรู้พื้นฐานทางการแพทย์แผนจีน เป็นการกระจายความรู้ด้านการแพทย์แผนจีนสู่ประชาชนทั่วไป เพื่อให้การแพทย์แผนจีนเป็นที่ยอมรับมากขึ้นในประเทศไทย สำหรับผู้ที่จะเข้าอบรมจะต้องมีคุณสมบัติตามที่แต่ละหน่วยงานกำหนดไว้ ซึ่งอาจจะแตกต่างกันไปตามแต่ละหัวข้ออบรม และเมื่อจบการอบรมแล้วจะได้ใบประกาศการผ่านการฝึกอบรมในหัวข้อนั้น ๆ และสามารถนำไปต่อยอดในการสมัครงานในสถานพยาบาลในตำแหน่งผู้ช่วยแพทย์จีนในอนาคต [1]
     แหล่งอ้างอิง
     1. ปวินท์ สุวรรณกุล. ผู้ช่วยคณบดีคณะการแพทย์แผนจีน มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ. สัมภาษณ์, 7 เมษายน 2551.    
     2. ปวินท์ สุวรรณกุล. “มาเรียนแพทย์แผนจีนกันเถอะ.”  จุลสารการแพทย์แผนจีน. 4,1 (2550) : 6-9.        
     3. มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม. วิทยาลัยการแพทย์ทางเลือก. “การศึกษาแพทย์แผนจีน มหาวิทยาลัยจันทรเกษม.” [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: http://www.chandra.ac.th/office/chaina/TCMCOM.pdf 2549.สืบค้น 4 พฤษภาคม 2551.
     4. มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย. วิทยาลัยการแพทย์พื้นบ้านและการแพทย์ทางเลือก. “พจ.บ.แพทย์จีน.”[ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: http://www.lannadoctor.com/index.php?option=com_content&task=view&id=19&Itemid=41 [ม.ป.ป.]. สืบค้น 4 พฤษภาคม 2551.  
vStudy Team. (เรียบเรียงโดย: สุวิชา ธงพานิช)
Website: vStudyapp.com
Facebook: http://www.facebook.com/vstudyapp
Twitter: @vStudyapp

Sunday, December 22, 2013

แนะนำสาขาวิชา : การแพทย์แผนจีน ตอนที่ 2

2
     ต่อเนื่องจากบทความที่แล้วนะครับที่ได้นำเสนอไปถึงประเด็นที่ว่า ครั้งที่ประเทศจีนปิดประเทศนั้น ความรู้ทางด้านการแพทย์แผนจีนก็หยุดชะงักลงไปหลายปี จนเมื่อจีนเปิดประเทศอีกครั้งความรู้ทางด้านการแพทย์แผนจีนจึงได้แพร่หลายออกไปสู่ภูมิภาคต่างๆทั่วโลกอีกครั้ง จนได้รับการยอมรับจากประเทศในแถบตะวันตก และองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ออกมาประกาศยอมรับศาสตร์การแพทย์แผนจีน
     สำหรับประเทศไทยได้มีการลงนามความร่วมมือทางด้านการแพทย์และสุขภาพในด้านต่างๆกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ในปี พ.ศ.2540 โดยนายมนตรี พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในขณะนั้น ต่อมาในปี พ.ศ.2543 นายกร ทัพรังสี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในขณะนั้นได้ทำบันทึกข้อตกลงกับสาธารณรัฐประชาชนจีน คือบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการจัดตั้งศูนย์การแพทย์ไทย - จีน [1] ทำให้ศาสตร์การแพทย์แผนจีนเข้ามามีบทบาทในประเทศไทยมากขึ้นในขณะนี้ประเทศไทยมีแพทย์จีนกว่า 200 คน ที่ได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุขตามกฎหมายว่าด้วยการแพทย์ทางเลือก ปัจจุบันครอบคลุมถึงแพทย์จีนที่เดินทางเข้ามาในไทยด้วย เมื่อได้รับใบอนุญาตแล้วจะอนุญาตให้บุคคลที่ประกอบโรคศิลปะ ศาสตร์การแพทย์แผนจีนสามารถดำเนินกิจกรรมรักษาโรคได้
     ปัจจุบันพบหลักฐานจำนวนมากที่ยืนยันประสิทธิภาพทางการรักษาของการแพทย์แผนจีนมากมาย โดยเฉพาะวิชาฝังเข็ม และสมุนไพร และจากหลักฐานความเป็นมาอันยาวนานของศาสตร์การแพทย์แผนจีน ได้มีการค้นพบ ตำราพระโอสถพระนารายณ์ (ตำที่รวบรวมข้อมูลยาในราชสำนักของไทย ประกอบด้วยตำรับยาล้านนา ยุโรป ไทย และจีน) ที่เชื่อกันว่าเป็นตำราแพทย์สมัยอยุธยา ได้บันทึกตำรับยาขนานที่ 11 ระบุว่าหมอจีนเป็นผู้ปรุงยาถวาย ถือเป็นหลักฐานที่แสดงว่าการแพทย์แผนจีนนั้น ได้เข้ามาสู่เมืองไทยตั้งแต่อยุธยาจากการเข้ามาตั้งรกรากของแพทย์จีน[1] แต่ยังไม่เป็นที่ยอมรับ และสืบทอดต่อมาจนในปัจจุบันการแพทย์แผนจีนในประเทศไทยได้รับการยอมรับอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยมีการจัดไว้เป็นหนึ่งในศาสตร์การแพทย์ทางเลือก ที่รับรองโดยกระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทย ถือได้ว่าเป็นศาสตร์ทางการแพทย์อีกหนึ่งทางเลือกที่มีความสำคัญมากขึ้นทุกวัน เนื่องจากวิธีการหรือขั้นตอนในการตรวจรักษานั้นไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ใดๆ ช่วยเหมือนแพทย์แผนปัจจุบัน จึงทำให้เสียค่าใช้จ่ายในการรักษาน้อยกว่าแพทย์แผนปัจจุบัน และช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดจากอุปกรณ์ชำรุดเสียหายทำให้ในปัจจุบันคนส่วนใหญ่เริ่มหันมารักษากับแพทย์จีนกันมากขึ้น
     แต่อย่างไรก็ตามการแพทย์แผนจีนยังไม่สามารถที่จะรักษาโรคได้ทุกโรค แต่ก็สามารถรักษาโรคบางโรคที่แพทย์แผนปัจจุบันรักษาให้หายขาดไม่ได้ ดังคำให้สัมภาษณ์ของอาจารย์ปวินท์สุวรรณกุล [2] ผู้ช่วยคณบดีคณะการแพทย์แผนจีนมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ที่ว่า
     ...แพทย์แผนปัจจุบันมุ่งรักษาโรค แต่การแพทย์แผนจีนมุ่งรักษาคน อย่างไรก็ตาม แพทย์แผนจีนไม่ได้รักษาได้ทุกโรค ต้องให้ความระมัดระวัง แพทย์จีนส่วนใหญ่ในประเทศจีนตอนนี้ก็มีการผสมผสานการแพทย์แผนปัจจุบันด้วย คิดว่า ทั้งสองอย่างต้องใช้อย่างควบคู่กัน ผสมผสานกัน เช่นการตรวจอาการเบื้องต้นบางอย่าง เช่น การตรวจหาการตั้งครรภ์ หากใช้วิธีแมะก็ประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่าการไปตรวจด้วยเครื่องมือแพทย์ในโรงพยาบาล เป็นต้น
     หากประเทศไทยช่วยสงเสริมและให้สิทธิทางการรักษาแก่แพทย์จีนที่จบจากสถาบันในประเทศไทยอย่างเสรีภายใต้ขอบเขตของกฎหมายแล้ว การเข้าถึงการรักษาของผู้คนในชุมชนที่ห่างไกลก็จะมีโอกาสมากขึ้น เนื่องจากแพทย์จีนสามารถเข้าถึงประชาชนได้ทุกภูมิภาคโดยที่การรักษาไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีใด ๆ ใช้เพียงความรู้และความชำนาญของแพทย์เท่านั้น จึงทำให้เหมาะสมกับสภาพสังคมในชนบทของประเทศไทยมากกว่าการแพทย์แผนปัจจุบัน แม้แต่ในสังคมเมืองการแพทย์แผนจีนก็ยังเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ป่วยเช่นกัน เพราะในการรักษาโรคบางชนิดการแพทย์แผนปัจจุบันอาจใช้วิธีการรักษาโดยอาศัยสารรังสีในการรักษาทำให้เกิดการตกค้างของสารเหล่านั้นได้ ถ้าสะสมเป็นเวลานานก็จะทำให้ร่างกายผิดปกติได้ ดังนั้นการแพทย์แผนจีนจึงสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการตกค้างของสารในร่างกายของผู้ป่วยได้ ประกอบกับสังคมในปัจจุบันเป็นสังคมที่ต้องแข่งขันทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ใช้เวลาเกือบทั้งวันให้กับการทำงานจนละเลยความเจ็บป่วย เพราะการไปพบแพทย์เผื่อตรวจวินิจฉัยโรคตามโรงพยาบาลนั้นจะต้องเสียเวลาในการตรวจเกือบทั้งวันจึงทำให้เกิดความคิดว่าเป็นการเสียเวลาจึงใช้การซื้อยารับประทานเอง แต่หากแพทย์จีนในประเทศไทยมีการยอมรับมากขึ้นและสามารถร่วมรักษากับการแพทย์แผนปัจจุบันได้ก็จะทำให้การตรวจโรคนั้นไม่ได้เป็นการเสียเวลาอีกต่อไป ขอเพียงมีการจัดการที่ดีพอสำหรับการรักษาและการตรวจวินิจฉัยร่วมกันของแพทย์
     ประเทศไทยในปัจจุบันมีแพทย์จีนที่ได้ขึ้นทะเบียนและมีใบประกอบโรคศิลปะจากกระทรวงสาธารณสุขอยู่ 216 คนทั่วประเทศ [1] โดยที่ส่วนใหญ่แล้วเป็นแพทย์จีนที่มาจากสาธารณรัฐประชาชนจีนและได้รับการถ่ายทอดความรู้จากบรรพบุรุษซึ่งแต่ละคนก็จะมีความชำนาญที่แตกต่างกันออกไปและมาตรฐานการรักษาของแพทย์แผนจีนก็ยังไม่มีความชัดเจน
     ปัจจุบันจึงได้มีเปิดสอนหลักสูตรการแพทย์แผนจีนในระดับปริญญาขึ้นโดยที่มีกระทรวง ศึกษาธิการรับรอง และบัณฑิตที่ศึกษาจบสาขาการแพทย์แพทย์จีนก็จะสามารถสอบขอรับใบประกอบโรคศิลปะจากกระทรวงสาธารณสุขได้ แต่ในขณะนี้ยังไม่มีการรับรองให้แพทย์จีนเปิดคลินิกส่วนตัวได้เต็มที่เนื่องจากยังไม่มีมาตรฐานในการรักษาของแพทย์จีนประกอบกับในขณะนี้ยังไม่มีบัณฑิตของประเทศไทยที่จบการศึกษาในหลักสูตรการแพทย์แผนจีน แต่หากในอนาคตบัณฑิตแพทย์จีนของประเทศไทยได้แสดงความสามารถในการรักษาคนไข้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีมาตรฐานเดียวกัน ก็คงจะมีการรับรองให้แพทย์จีนของไทยสามารถเปิดคลินิกอิสระส่วนตัวได้เหมือนกับแพทย์แผนปัจจุบันดังนั้นประเทศไทยจึงต้องการแพทย์จีนที่เป็นบัณฑิตไทยจำนวนมากเพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับคนไทย ในการดูแลรักษาสุขภาพ ดังที่จะกล่าวถึงสถาบันที่เปิดสอนในหลักสูตรการแพทย์แผนจีนในประเทศไทย ในบทความต่อไปนะครับ[3]
     แหล่งอ้างอิง
     1. ปวินท์ สุวรรณกุล. “มาเรียนแพทย์แผนจีนกันเถอะ.”  จุลสารการแพทย์แผนจีน. 4,1 (2550) : 6-9.
     2. ปวินท์ สุวรรณกุล. ผู้ช่วยคณบดีคณะการแพทย์แผนจีน มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ. สัมภาษณ์, 7 เมษายน 2551.
     3. สุวิชา ธงพานิช. “การแพทย์แผนจีนในประเทศไทย.” ภาคนิพนธ์ประกอบรายวิชา 2206101 การค้นคว้าและการเขียนรายงานเชิงวิชาการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 2550.
vStudy Team. (เรียบเรียงโดย: สุวิชา ธงพานิช)
Website: vStudyapp.com
Facebook: http://www.facebook.com/vstudyapp
Twitter: @vStudyapp

Wednesday, December 18, 2013

แนะนำสาขาวิชา : การแพทย์แผนจีน ตอนที่ 1

2
     ช่วงปลายปีแบบนี้ น้องๆ หลายคนคงกำลังวิ่งวุ่นหามหาวิทยาลัยเพื่อเรียนต่อกันอย่างเอาจริงเอาจัง ซึ่งในขณะนี้ประเทศของเราก็ได้มีมหาวิทยาลัยเปิดขึ้นมากมายหลายแห่ง รวมถึงมีการเปิดการเรียนการสอนในสาขาวิชาต่างๆ มากมายก่ายกอง รวมถึงมีศาสตร์ใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมายอยู่ตลอดเวลา กระผมจึงอยากจะขอนำเสนอข้อมูลของสาขาวิชาต่างๆ ที่น่าสนใจและยังมีคนรู้จักน้อยอยู่ เพื่อให้น้องๆ ใช้ในการประกอบการตัดสินใจอีกทางหนึ่ง โดยเริ่มจากสาขาวิชาแรกเลยครับ เป็นสาขาวิชาทางด้านการแพทย์ทางเลือกที่ยังมีมหาวิทยาลัยไทยเปิดการเรียนการสอนอยู่น้อย
     หากกล่าวถึงศาสตร์ด้านการแพทย์ เราไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าศาสตร์ด้านการแพทย์เป็นศาสตร์ที่สำคัญต่อมนุษย์มาก เพราะเป็นศาสตร์ที่ใช้ในการรักษา บรรเทา ฟื้นฟู และดูแลชีวิตของมนุษย์ อันเป็นผลมาจากการเสื่อมถอยของร่างกายและอุบัติเหตุ ศาสตร์การแพทย์ที่เกิดขึ้นมาในแต่ละภูมิภาคของโลกนั้นอาจไม่ได้เกิดจากรูปแบบทางความรู้ที่มาจากหลักการเดียวกัน แต่ทุกศาสตร์ต่างก็มีจุดประสงค์เดียวกันก็คือการบรรเทาความทุกข์ที่เกิดจากการเจ็บป่วยทางกายของมนุษย์เหมือนกันทั้งสิ้น
     การแพทย์แผนจีน เป็นศาสตร์การแพทย์หนึ่งของโลกที่สืบทอดต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาหลายพันปี ถือได้ว่าเป็นศาสตร์ที่ทรงคุณค่าของชาวจีน ได้มีการค้นพบหลักฐานและข้อมูลจำนวนมากที่ยืนยันประสิทธิผลของศาสตร์การแพทย์แผนจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาฝังเข็มและสมุนไพรต่างๆ จากจีนซึ่งเป็นแหล่งอารยะธรรมสำคัญแห่งโลกตะวันออกที่เข้มแข็ง การแพทย์แผนจีนได้ถูกแบ่งออกเป็นยุคต่างๆ [1] ไว้ดังนี้
     ยุคโบราณ มีการประดิษฐ์เข็มหิน 9 เล่ม เพื่อใช้ในการรักษา เป็นที่มาของการฝังเข็ม นอกจากนี้ยังพบบันทึกตำราแพทย์ของจักรพรรดิหวงตี้
     ยุคราชวงศ์เชี่ย ถึง ยุคชุนชิว มีการนำเหล้ามาใช้ทำยา พบภาชนะสำหรับต้มยาและเอกสารโบราณชื่อ "ซานไห่จิง (山海轻)" เป็นเอกสารทางภูมิศาสตร์แต่กล่าวถึงยาสมุนไพรไว้ราว 20 ชนิด
     ยุคก่อกำเนิดทฤษฎีการแพทย์จีน จากยุคจั้นกั๋ว ถึง ยุคสามก๊ก พบตำราการแพทย์เขียนบนผ้าไหมและไม้ไผ่จากสุสานหม่าหวายตุย แห่งราชวงศ์ฮั่น เป็นตำราที่สรุปหลักการสำหรับสุขภาพและการรักษาโรค
     ยุคราชวงศ์ฉิน มีแพทย์รักษาโรคและปรุงยาอายุวัฒนะเรียกว่า "พวกฟางซื่อ" มีการสร้างเรือและนำเยาวชนชายและหญิงจำนวนหนึ่งออกไปค้นหายาอายุวัฒนะ
     ยุคราชวงศ์ซ่ง ถึง ยุคราชวงศ์หมิง เริ่มมีการผลิตหนังสือ มีการรวบรวมเอกสารด้านการแพทย์จำนวนมาก ทำให้เกิดการแพร่หลายอย่างรวดเร็ว และยังมีการสั่งให้สถานปรุงยาทุกแห่งวาดภาพต้นสมุนไพร เพื่อทำการรวบรวมและจัดพิมพ์เป็นหนังสือ
     ยุคพัฒนาการแพทย์แผนจีนและเวชปฏิบัติแผนใหม่ในยุคราชวงศ์หมิง ราชวงชิงก่อนสงครามฝิ่น มีการพัฒนาในด้านกายวิภาค สรีรวิทยา และสูตินรีเวช นอกจากนี้ยังพบหุนจำลองจุดฝังเข็ม ในยุคนี้เองการแพทย์แผนจีนได้ประสบความสำเร็จในด้านการต่อกระดูก เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้การแพทย์แผนจีนในยุคนั้นมีโอกาสได้ทำการรักษาร่วมกับการแพทย์แผนตะวันตก
     ยุคปัจจุบัน หลังจากที่การแพทย์แผนตะวันตกได้ก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้มีการต่อต้านการแพทย์แผนจีนเกิดขึ้น และการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญของจีนเองจนทำให้ต้องปิดประเทศก็เป็นผลทำให้ความรู้ด้านการแพทย์แผนจีนหยุดชะงักไป แต่เมื่อจีนเปิดประเทศอีกครั้ง ก็ได้แสดงให้ถึงประสิทธิภาพในการรักษาคนป่วยได้อย่างดีเยี่ยมและเทียบเท่ากับการรักษาของแพทย์แผนตะวันตก จึงได้มีการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมจนเกิดเป็นความรู้ใหม่ๆ มากมาย เช่น การกระตุ้นระบบประสาทโดยใช้ไฟฟ้าควบคู่กับการฝังเข็ม เป็นต้น สำหรับการรักษาของแพทย์จีนจะใช้วิธีการแบบดั้งเดิมโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือใดๆ ใช้เพียงนิ้วมือของแพทย์จีนเท่านั้นก็สามารถตรวจวินิจฉัยโรคในเบื้องต้นได้หรือที่เรียกกันว่า "การแมะ หรือการตรวจชีพจร" เป็นวิธีการตรวจวินิจฉัยผู้ป่วยของแพทย์จีนโบราณที่สำคัญที่สุดวิธีหนึ่ง โดยจะใช้นิ้วมือแตะลงไปบนจุดชีพจรต่างๆ เพื่อตรวจความผิดปกติของอวัยวะและระบบการทำงาน
     จุดเด่นของศาสตร์ด้านการแพทย์แผนจีน นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน์ [2] อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้ให้คำนิยมเอาไว้ตอนหนึ่งว่า “ถึงแม้การแพทย์แผนจีนต้องเผชิญชะตากรรมคล้ายคลึงกับการแพทย์แผนไทย คือ ถูกแรงเบียดจากการแพทย์แผนตะวันตกจนเกือบถูกกำจัดออกไปเมื่อราว 80 ปีมาแล้ว แต่เพราะแพทย์จีนมีพื้นฐานและการผนึกกำลังกันเข้มแข็งพอ" ทำให้ศาสตร์การแพทย์แผนจีนได้มีโอกาสพัฒนาสืบต่อมาไม่ขาดช่วงไปนานอย่างการแพทย์แผนไทย ซึ่งภายหลังการเปิดประเทศแล้วการแพทย์แผนจีนได้มีการแพร่หลายไปอย่างรวดเร็วทั่วทุกภูมิภาคทั่วโลก ทำให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางและได้รับการยอมรับมากขึ้น [3]
     นี้เป็นเพียงแค่ข้อมูลที่มาที่ไปของศาสตร์ด้านการแพทย์แผนจีนที่กระผมได้เคยรวบรวมเอาไว้เป็นภาคนิพนธ์ [4] เรื่อง “การแพทย์แผนจีนในประเทศไทย” เมื่อปี 2551 ซึ่งยังมีข้อมูลน่าสนใจอีกมากมายที่จะขอมานำเสนอในโอกาสถัดไปครับ
     แหล่งอ้างอิง
     1. วิทิต วัณนาวิบูล. ประวัติการแพทย์จีน. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร: สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2537.
     2. ภาสกิจ (วิทวัส) วัณนาวิบูล. “แนวคิด: การตรวจวินิจฉัยของศาสตร์แพทย์แผนจีน.” ตำราการแพทย์แผนจีน:การตรวจวินิจฉัย, 1-3. กรุงเทพมหานคร: หมอชาวบ้าน, 2548.
     3. ปวินท์ สุวรรณกุล. “มาเรียนแพทย์แผนจีนกันเถอะ.” จุลสารการแพทย์แผนจีน. 4,1 (2550) : 6-9.        
     4. สุวิชา ธงพานิช. “การแพทย์แผนจีนในประเทศไทย.” ภาคนิพนธ์ประกอบรายวิชา 2206101 การค้นคว้าและการเขียนรายงานเชิงวิชาการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 2550.
vStudy Team. (เรียบเรียงโดย: สุวิชา ธงพานิช)
Website: vStudyapp.com
Facebook: http://www.facebook.com/vstudyapp
Twitter: @vStudyapp

Tuesday, December 17, 2013

โครงกระดูกมีอะไรมากกว่าที่คิด

2
     เนื่องด้วยกระผมได้มีโอกาสไปเข้าฟังการบรรยายพิเศษเกี่ยวกับการสอนกายวิภาคศาสตร์กับอาจารย์ใหญ่ ที่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล แล้วก็มีประเด็นหนึ่งในหลายๆ ประเด็นที่ผมคิดว่าน่าสนใจมาก ดังเช่นเรื่องที่ผมจะขอมานำเสนอในวันนี้ ซึ่งได้รับเกียรติบรรยายโดย ศาสตราจารย์ (พิเศษ) นายแพทย์สรรใจ แสงวิเชียร ในหัวข้อ “การตรวจวิเคราะห์ โครงกระดูก” ครับ จึงขออนุญาตนำบทบรรยายของท่านมานำเสนอในครั้งนี้ด้วยครับ
     การวิเคราะห์โครงกระดูกหรือกระดูกแต่ละชิ้นนั้น นับว่ามีความสำคัญอย่างมากในการศึกษาทางด้านมานุษยวิทยากายภาพ การศึกษาเชื้อชาติ การศึกษาทางการแพทย์ การศึกษานิติเวชศาสตร์ และการศึกษาโบราณคดี ซึ่งผู้ที่จะทำการวิเคราะห์โครงกระดูกจะต้องมีความรู้ทางกายวิภาคศาสตร์ของกระดูกมนุษย์เป็นอย่างดี รวมถึงต้องมีความรู้เกี่ยวกับกระดูกสัตว์ กายวิภาคศาสตร์เปรียบเทียบและวิวัฒนาการ
     งานการวิเคราะห์โครงกระดูกถูกใช้ในการศึกษามานุษยวิทยากายภาพโดยตรง แต่ก็ยังมีอีกสองสาขาวิชาที่จะต้องวิเคราะห์กระดูกด้วยก็คือ โบราณคดี และนิติเวชศาสตร์ โดยที่นักศึกษาสาขาเหล่านี้จะต้องเรียนเรื่องกระดูกมนุษย์ทุกชิ้น ไม่ว่าจะเป็นชื่อลักษณะจำเพาะ การแยกข้าง ร่องทุกร่อง รูทุกรูในกระดูกทุกชิ้น และจะต้องรู้จักกระดูกสัตว์พอสมควร เพื่อจะได้ใช้ในการแปลผลว่ากระดูกที่พบเป็นของคนหรือไม่
     ในการศึกษา เมื่อได้รับโครงกระดูกหรือชิ้นส่วนกระดูกมาแล้ว จะต้องทำการศึกษาและตอบปัญหาต่างๆ ให้ครบถ้วนตามลำดับ ดังนี้
     1. กระดูกเหล่านั้นเป็นกระดูกแท้ใช่หรือไม่
     2. กระดูกเหล่านั้นชิ้นใดเป็นกระดูกคนชิ้นใดเป็นกระดูกสัตว์ ต้องแยกจากกัน สำหรับนิติเวช กระดูกสัตว์อาจไม่สำคัญนัก ยกเว้นสัตว์ที่จะเป็นต้นเหตุการณ์ตาย สำหรับโบราณคดี ต้องศึกษาร่วมกับผู้รู้ทางสัตววิทยา ต้องตอบเรื่องสัตว์ที่เป็นอาหาร สัตว์ที่ใช้งาน ฯลฯ
     3. กระดูกคนที่ได้เป็นกระดูกคนปัจจุบันหรือกระดูกคนโบราณซึ่งอาจต้องศึกษาทางด้านอื่นๆ อีก เช่น การหาอายุโดยใช้วิธีการทางฟิสิกส์
     4. กระดูกคนที่ได้มานั้นมีกี่ชิ้น อะไรบ้าง
     5. กระดูกคนนั้นเป็นของคนกี่คน
     6. พิจารณาสภาพของกระดูกแต่ละคนว่าเป็นอย่างไร เก่า ใหม่ แห้ง เปราะ กลายเป็นฟอสซิล ฯลฯ ซึ่งขั้นตอนนี้จะต้องใช้ทั้งความรู้กายวิภาค ความอดทน และความละเอียดในการทำงาน
     7. กระดูกกองนั้นเป็นเพศชายหรือหญิง โดยใช้การศึกษาตามวิธีของ Krogman “Human Skeleton in Forensic Medicine” ที่ใช้เชิงกราน กะโหลก และกระดูกยาว
     8. เจ้าของกระดูกนั้นสูงประมาณเท่าไร วัดกระดูกยาวโดย Ostreometric Board แล้วคำนวณโดยสมการถดถอยที่เป็นสูตรของคนไทย
     9. อายุประมาณเท่าไร
     10. เชื้อชาติอะไร ซึ่งจะต้องศึกษาโดยการวัดตามวิธีมาตรฐาน และต้องมีเครื่องมือมาตรฐาน
     11. ศึกษาลักษณะจำเพาะของฟัน ลักษณะ รูปร่าง ความผิดปกติ ร่องรอยการสึก การผุ การทำฟัน การตบแต่งฟันแบบต่างๆ
     12. บันทึกลักษณะของความพิการแต่กำเนิดของโครงกระดูก หรือการกระทำให้เกิดความพิการ
     13. บันทึกร่องรอยของพยาธิสภาพที่ปรากฏในกระดูกหรือฟัน
     14. บันทึกร่องรอยที่กระดูก ที่เกิดขึ้นโดยคนทำ จากวัฒนธรรม และความเชื่อ เช่น การแต่งฟัน การทำกะโหลกให้ผิดรูป ฯลฯ
     15. ร่องรอยการทำลายของกระดูกโดยสัตว์และแมลง เช่น รอยที่ถูกเม่นแทะ หรือปลวกกิน
     16. บันทึกร่องรอยทางนิติเวชศาสตร์ เช่น ร่องรอยการถูกทำร้าย และร่องรอยการทำลายศพ
     ดังนั้น ผู้ที่จะทำงานเรื่องโครงกระดูกควรจะต้องหาความรู้หลายๆ วิชาให้กว้างขวาง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการทำงานมาก
vStudy Team. (เรียบเรียงโดย: สุวิชา ธงพานิช)
Website: vStudyapp.com
Facebook: http://www.facebook.com/vstudyapp
Twitter: @vStudyapp

Friday, December 13, 2013

เรื่องเพศ: ชายหรือหญิง อะไรที่แตกต่าง?

 2
     สืบเนื่องจากบทความก่อนหน้านี่ที่ผมนำเสนอเกี่ยวกับการกำหนดเพศหญิง-ชาย ไปนะครับ วันนี้ผมเลยจะขอมานำเสนอเกี่ยวกับความเป็นชายและหญิงในมุมมองของวิทยาศาสตร์ว่าแตกต่างกันอย่างไร โดยหลังจากที่เกิดการปฏิสนธิแล้วตัวอ่อนในครรภ์ก็จะเริ่มเข้าสู่กระบวนการเจริญและพัฒนาระบบอวัยวะต่างๆ จนสมบูรณ์พร้อมที่จะออกมาสู่โลกภายนอกครับ โดยในตอนที่เราเป็นเด็กๆ ด.ช. และ ด.ญ. นั่นลักษณะทางกายภาพแทบจะไม่มีความแตกต่างกันเท่าไรยกเว้นที่บริเวณน้องชาย/น้องสาว (อวัยวะเพศ) ที่ต่างกัน แต่เมื่อเราเริ่มโตขึ้นลักษณะของแต่ละเพศก็จะเริ่มแสดงออกมากขึ้นๆ จนทำให้ลักษณะทางกายภาพแตกต่างกันค่อนข้างชัดเจน ซึ่งสามารถแบ่งการพัฒนาลักษณะของแต่ละเพศออกเป็น 2 ช่วงระยะ คือ ลักษณะเพศขั้นที่หนึ่ง และลักษณะเพศขั้นที่สอง และในวันนี้จะขอนำเสนอ "ลักษณะขั้นที่หนึ่ง" ของแต่ละเพศกันก่อนครับ
     ตั้งแต่เกิดจนถึงช่วงวัยเด็กตอนปลาย ลักษณะที่ใช้บ่งบอกเพศได้ชัดเจนที่สุดก็คืออวัยวะเพศ ซึ่งต่างก็มีชื่อเรียกกันไปต่างๆ นานาตามแต่ละท้องที่ แต่ต่างก็สื่อถึงสิ่งเดียวกันนั่นก็คือน้องชายและน้องสาวของแต่ละคนนั้นเอง (ดังภาพครับ) ซึ่งจากภาพจะเห็นว่าลักษณะความแตกต่างภายนอกและภายในของอวัยวะเพศชายและหญิงนั่นแตกต่างกันอย่างชัดเจน แต่ในช่วงการเจริญนั้นต่างก็มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน
1
     ขอบคุณภาพจาก: Anatomical Images by A.D.A.M. Software, Inc.
vStudy Team. (เรียบเรียงโดย: สุวิชา ธงพานิช)
Website: vStudyapp.com
Facebook: http://www.facebook.com/vstudyapp
Twitter: @vStudyapp

เรื่องเพศ: ชายหรือหญิง แท้จริงใครกำหนด?

 2
     มนุษย์เราทุกคนเกิดมาล้วนแต่มีความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน แต่ในความเท่าเทียมนั้นพวกเราต่างก็รู้กันดีว่ามีสิ่งหนึ่งที่แบ่งมนุษย์เราออกเป็น 2 นั่นก็คือ “เพศ” หรือเครื่องบ่งบอกลักษณะ ที่ทำให้มนุษย์เพศชายและเพศหญิงเกิดความแตกต่างกันทางกายวิภาคและสรีรวิทยา ซึ่งเป็นผลนำไปสู่ความแตกต่างกันทางด้านนิสัย อารมณ์ ความคิด พละกำลัง ฯลฯ รวมไปถึงสิทธิต่างๆ ทางสังคม (ในอดีต) แต่สำหรับในปัจจุบันนั้นคำว่า "เพศ" ไม่ได้เป็นเครื่องบ่งบอกถึงความไม่เท่าเทียมกันทางสังคมอีกต่อไปแล้ว เมื่อทั้งหญิงและชายต่างก็มีสิทธิเสรีภาพภายในกฎหมายที่เท่าเทียมกัน ดังนั้นในวันนี้ผมเลยจะขอมานำเสนอความแตกต่างของชาย-หญิง ในมุมมองทางวิทยาศาสตร์ง่ายๆ กันนะครับ
     เพศของเราทุกคนนั้นได้ถูกกำหนดเอาไว้ตั้งแต่ครั้งเริ่มแรกของการกำเนิดชีวิต นั่นก็คือในช่วงเวลาที่อสุจิจากพ่อเพียงตัวเดียวเจาะเข้าไปในไข่ของแม่แล้วเกิดการปฏิสนธิกันขึ้น จนได้เป็นเซลล์สิ่งมีชีวิตใหม่ที่เจริญเติบโตขึ้นอยู่ภายในครรภ์ของแม่ ซึ่งสิ่งที่เป็นตัวกำหนดเพศของเรานั้นก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแม่ (ไข่) แต่อย่างใด หากแต่ขึ้นอยู่กับพ่อ (อสุจิ) โดยตรง เนื่องจากโครโมโซมเพศ (X หรือ Y) ที่เป็นตัวกำหนดเพศนั้น จะเกิดจากการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสของพ่อและแม่เพื่อให้ได้เซลล์สืบพันธุ์ ดังนั้นในเซลล์ของแม่ซึ่งมีโครโมโซมเป็น XX เมื่อแบ่งเซลล์แล้วจึงได้เซลล์สืบพันธุ์ (ไข่) ที่มีโครโมโซมเป็น X เสมอ ในขณะที่พ่อซึ่งมีโครโมโซมเป็น XY ดังนั้นเมื่อแบ่งเซลล์จึงได้เซลล์สืบพันธุ์ (ตัวอสุจิ) ที่มีทั้งที่เป็นโครโมโซม X และตัวที่เป็นโครโมโซม Y อย่างละครึ่ง ดังนั่นโอกาสจะได้ลูกชายจึงมาจากโครโมโซม Y ของพ่อเท่านั้น
     จากคำอธิบายข้างต้น จึงบอกได้เลยว่าการที่จะได้ลูกชายหรือลูกสาวนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับแม่แต่อย่างใด แต่ขึ้นอยู่กับพ่อล้วนๆ ดังแผนภาพด้านล่างเลยครับ แต่นี่ก็เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของชาย-หญิงเท่านั้น ยังมีสิ่งน่าสนใจอีกมากมายเกี่ยวกับเพศ ซึ่งผมจะนำมาเสนอในโอกาสต่อไปครับ
1
vStudy Team. (เรียบเรียงโดย: สุวิชา ธงพานิช)
Website: vStudyapp.com
Facebook: http://www.facebook.com/vstudyapp
Twitter: @vStudyapp

Thursday, December 12, 2013

วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต

 2
     จากสิ่งมีชีวิตหนึ่ง เกิดการเปลี่ยนแปลงจนนำไปสู่สิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง เราต่างทราบกันดีว่าเป็นวิวัฒนาการ ซึ่งกลไกในการเกิดวิวัฒนาการแบ่งได้ 2 กลไก คือ
     1. การคัดเลือกโดยธรรมชาติ (natural selection) อันเป็นกระบวนการคัดเลือกสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะเหมาะสมที่จะอยู่รอด และสืบพันธุ์จนได้ลักษณะที่เหมาะสมที่สุด และลักษณะที่ไม่เหมาะสมจะเหลือน้อยลง กลไกนี้เกิดขึ้นเพื่อคัดเลือกลักษณะของประชากรที่เกิดประโยชน์ในการสืบพันธุ์สูงสุดเมื่อสิ่งมีชีวิตหลายรุ่นได้ผ่านพ้นไป ก็จะเกิดกระบวนการปรับตัวของสิ่งมีชีวิตเพื่อให้อยู่ในสิ่งแวดล้อมได้อย่างเหมาะสม
     2. การแปรผันทางพันธุกรรม (genetic drift) อันเป็นกระบวนการอิสระจากการคัดเลือกความถี่ของยีนประชากรแบบสุ่ม การแปรผันทางพันธุกรรมเป็นผลมาจากการอยู่รอดและการสืบพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต แม้ว่าการแปรผันทางพันธุกรรมในแต่ละรุ่นนั้นจะเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย แต่ลักษณะเหล่านี้จะสะสมจากรุ่นสู่รุ่น เกิดการเปลี่ยนแปลงทีละเล็กละน้อยในสิ่งมีชีวิต จนกระทั่งเวลาผ่านไปเป็นระยะเวลานาน จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในลักษณะของสิ่งมีชีวิต กระบวนการดังกล่าวเมื่อถึงจุดสูงสุดจะทำให้กำเนิดสปีชีส์ชนิดใหม่ แม้กระนั้นความคล้ายคลึงกันระหว่างสิ่งมีชีวิตมีข้อเสนอที่เป็นที่รู้จักกันดีคือการสืบเชื้อสายจากบรรพบุรุษ หรือยีนพูลของบรรพบุรุษ เมื่อผ่านกระบวนการนี้จะก่อให้เกิดความหลากหลายมากขึ้นทีละเล็กละน้อย
1
     ขอบคุณภาพจาก: Campbell Biology, 9th ed.
vStudy Team. (เรียบเรียงโดย: สุวิชา ธงพานิช)
Website: vStudyapp.com
Facebook: http://www.facebook.com/vstudyapp
Twitter: @vStudyapp

การเคลื่อนไหวของพืช

 2
     การตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมของพืชนั้น มักจะเกิดจากการเจริญเติบโตและการเปลี่ยนแปลงแรงดันในเนื้อเยื่อพืช โดยการเคลื่อนไหวของพืชนั้นจะเกิดจากสิ่งเร้าทั้งภายนอกและภายใน ซึ่งแบ่งออกเป็น
     1. การเคลื่อนไหวที่มีทิศทางสัมพันธ์กับทิศทางของสิ่งเร้า (tropic movement) เช่น แสง แรงโน้มถ่วงของโลก สารเคมี น้ำหรือความชื้น และอุณหภูมิ เป็นต้น โดยพบว่าปลายยอดของพืชจะเคลื่อนที่เข้าหาแสง ในขณะที่ปลายรากจะเคลื่อนที่หนีจากแสง ทั้งนี้เนื่องจากการทำหน้าที่ของฮอร์โมนออกซิน (auxin) และลำต้นของพืชจะมีทิศทางการเติบโตที่ต้านแรงโน้มถ่วงของโลก ในขณะที่รากจะเคลื่อนที่ไปในทางเดียวกันกับแรงโน้มถ่วงของโลก ก็เนื่องมาจากการทำหน้าที่ของฮอร์โมนออกซินเช่นเดียวกัน
     2. การเคลื่อนไหวของพืชโดยมีทิศทางไม่สัมพันธ์กับทิศทางของสิ่งเร้า (nastic movement) เป็นการตอบสนองที่เกิดจากสิ่งเร้าเดียวกัน ปริมาณเท่ากัน แต่พืชตอบสนองได้ไม่เท่ากัน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับบริเวณที่ได้รับสิ่งเร้าและชนิดของพืชด้วย เช่น การบาน-หุบ ของดอกไม้
     3. การเคลื่อนไหวที่เกิดจากความเต่งของเนื้อเยื่อ (turgor movement) เช่น การหุบและกางใบของไมยราบ การหุบใบตอนพลบค่ำของต้นก้ามปู จามจุรี มะขาม และพืชตระกูลถั่ว รวมถึงการเปิด-ปิด ของปากใบด้วย
1
     ขอบคุณภาพจาก: Campbell Biology, 9th ed.
vStudy Team. (เรียบเรียงโดย: สุวิชา ธงพานิช)
Website: vStudyapp.com
Facebook: http://www.facebook.com/vstudyapp
Twitter: @vStudyapp

Wednesday, December 4, 2013

เพื่อนร่วมโลกของเรา หายใจกันอย่างไรบ้าง?

2
     ในทุกๆ ช่วงเวลาของชีวิตเรา มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาทั้งที่เรารู้ตัวและไม่รู้ตัว นั่นก็คือการหายใจ เพราะการหายใจนั้นเป็นกระบวนการสำคัญยิ่งของสิ่งมีชีวิตที่จะนำเอาสารตั้งต้นของกระบวนการต่างๆ ภายในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตเข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นไม่ใช่แค่ในมนุษย์เท่านั้นที่ต้องหายใจ แต่สิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆทุกชนิดล้วนแต่ต้องหายใจด้วยกันทั้งสิ้น วันนี้ผมจะขอนำเสนอตัวอย่างรูปแบบของระบบการหายใจของสิ่งมีชีวิตบางกลุ่ม ตามนี้เลยครับ
     ระบบท่อลม (tracheal system) เป็นระบบการแลกเปลี่ยนก๊าซในแมลง โดยจะประกอบไปด้วยรูเปิดที่บริเวณส่วนนอกและส่วนท้อง (spiracle) ท่อลม (trachea) และท่อลมย่อย (tracheole) โดยจะแทรกกระจายเข้าสู่ทุกส่วนของลำตัวแมลง เพื่อทำหน้าที่ในการแลกเปลี่ยนก๊าซ โดยเมื่ออากาศผ่านเข้ารูปเปิดไปยังท่อลม และท่อลมย่อยแล้วที่ปลายของท่อลมย่อยจะมีของเหลวบรรจุอยู่ ช่วยให้ออกซิเจนละลายได้ ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนก๊าซได้ดี และเนื้อเยื่อก็จะได้รับก๊าซออกซิเจนจากท่อลมโดยตรงได้เลย
     ระบบผิวหนังที่ช่วยในการแลกเปลี่ยนก๊าซ จะพบได้ในพวกสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก เช่น กบตัวเต็มวัย โดยที่ผิวหนังของกบจะมีหลอดเลือดมาเลี้ยงจำนวนมาก ทำให้สามารถแลกเปลี่ยนก๊าซได้เป็นอย่างดีทั้งบนบกและในน้ำ โดยในขณะที่จำศีล กบจะใช้ผิวหนังที่ชุ่มชื้นอยู่ตลอดช่วยในการหายใจโดยการแลกเปลี่ยนก๊าซระหว่างผิวหนังกับอากาศรอบๆ ตัว เพื่อนำก๊าซออกซิเจนผ่านหลอดเลือดที่ผิวหนัง ไปเลี้ยงยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย
     เหงือก (gill) เป็นโครงสร้างที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนก๊าซของสัตว์ที่ดำรงชีวิตอยู่ในน้ำ เช่น ปลา โดยเหงือกของปลาจะมีลักษณะเป็นแผงๆ (gill arch) ซึ่งเป็นกระดูกอ่อน ด้านในมีลักษณะเป็นซี่ๆ เพื่อป้องกันอนุภาคขนาดใหญ่และอาหาร ไม่ให้เข้าออกได้ นอกจากนี้แต่ระแผงของเหงือกจะมีส่วนที่ยื่นนูนออกมาเป็นแขนงเรียกว่า gill filament และ gill lamella ซึ่งจะมีแขนงของหลอดเลือดมาสัมพันธ์ ทำให้ออกซิเจนในน้ำสามารถแพร่เข้าสู่หลอดเลือดได้อย่างพอเพียง ในขณะเดียวกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก็สามารถแพร่ออกจากหลอดเลือดไปสู่น้ำรอบๆ ได้เป็นอย่างดีเช่นกัน
     ปอด (lung) เป็นโครงสร้างที่ใช้ในการหายใจ พบได้ตั้งแต่สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ปีก และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนำนม รวมถึงคนด้วย เป็นโครงสร้างที่เริ่มมีความซับซ้อนและเป็นระบบมากขึ้น โดยออกซิเจนจะผ่านทางเดินหายใจเข้าสู่ปอด และถุงลมปอด เพื่อไปแลกเปลี่ยนที่ผนังของถุงลมกับหลอดเลือดฝอยที่มาสัมพันธ์ ก่อนจะถูกขนส่งผ่านหลอดเลือดไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย
1
vStudy Team. (เรียบเรียงโดย: สุวิชา ธงพานิช)
Website: vStudyapp.com
Facebook: http://www.facebook.com/vstudyapp
Twitter: @vStudyapp

Monday, November 25, 2013

ทำไมเราถึงมีหลายเซลล์

 2
     หน่วยที่เล็กที่สุดที่สามารถทำหน้าที่ได้ของสิ่งมีชีวิตนั่นก็คือ เซลล์ (cell) ซึ่งถือเป็นหน่วยปฏิบัติงานของสิ่งมีชีวิตที่เกี่ยวข้องและสัมพันธ์กับทุกระบบของร่างกาย รวมถึงมนุษย์อย่างเราก็ต้องอาศัยการทำงานของเซลล์ในร่างกายที่มีมากมายนับล้านเซลล์ ซึ่งรวมถึงกลไกในการเจริญเติบโตและการซ่อมแซมส่วนที่สึกหลอของร่างกายอีกด้วย เนื่องจากเซลล์ของสิ่งมีชีวิตจะมีการแบ่งตัวแบบ "ไมโทซิส (mitosis cell division)" อยู่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่เซลล์ตั้งต้นที่ทำให้เราเกิดมานั้นจะมีแค่เซลล์เดียวที่เกิดจากไข่ (egg) ของแม่กับอสุจิ (sperm) ของพ่อ แต่นั้นก็เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของชีวิตที่ทำให้เกิดกลไกการแบ่งเซลล์ต่อมาเรื่อยๆ จนกระทั้งกลายเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสนั้นจะประกอบไปด้วยขั้นตอนต่างๆ ดังนี้
     1. ระยะอินเตอร์เฟส (interphase) เป็นระยะที่กิจกรรมต่างๆ ของเซลล์เกิดขึ้นสูง มีการสร้างส่วนประกอบต่างๆ ของเซลล์เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการแบ่งตัว ใช้เวลา 90% ของชีวิตเซลล์ นั่นคือ ครอบคลุมตั้งแต่ระยะ G1 S (มีการเพิ่มจำนวนโครมาทิดในระยะนี้) และ G2 (เป็นระยะที่เซลล์มีการสังเคราะห์สารต่างๆ เพื่อเตรียมเข้าสู่กระบวนการแบ่งนิวเคลียส)
     2. ระยะโพรเฟส (prophase) ระยะนี้ในนิวเคลียสสารพันธุกรรมจะพันกันแน่นเข้าจนเริ่มเห็นเป็นรูปโครโมโซม เซนตริโอลเคลื่อนที่ไปยังแต่ละขั้วของเซลล์ เมื่อถึงช่วงสุดท้ายของระยะนี้ที่บางครั้งเรียกว่า "โพรเมตาเฟส (prometaphase)" จะมีการสร้างเส้นใยสปินเดิล (spindle fiber) ไปจับยังบริเวณไคนีโตคอร์ (kinetochore) ของโครโมโซม เยื่อหุ้มนิวเคลียสสลายไป
     3. ระยะเมตาเฟส (metaphase) เส้นใยไมโตติกสปินเดิลสร้างเสร็จสมบูรณ์ โครโมโซมเรียงตัวตรงกลางเซลล์
     4. ระยะแอนาเฟส (anaphase) ซิสเตอร์โครมาติด (sister chromatid) ของโครโมโซมแต่ละอันถูกดึงแยกจากกันไปยังขั้วของเซลล์ การดึงนี้ใช้พลังงาน ATP ระยะนี้สิ้นสุดเมื่อโครโมโซมทั้งหมดไปถึงขั้วของเซลล์
     5. ระยะเทโลเฟส (telophase) และการแบ่งไซโตพลาสซึม (cytokinesis) เป็นระยะที่ตรงข้ามกับโพรเฟส คือโครโมโซมคลายตัวเป็นเส้นใยโครมาตินเหมือนเดิม มีการสร้างเยื่อหุ้มนิวเคลียสขึ้นอีกครั้ง จากนั้นจึงตามมาด้วยการแบ่งไซโตพลาสซึม ถ้าเป็นในเซลล์พืชจะมีการสร้างผนังเซลล์ขึ้นใหม่ตรงกลางเซลล์ เมื่อผนังเซลล์ใหม่ชนกับผนังเซลล์เดิมจะได้เซลล์ลูก 2 เซลล์
1
     ขอบคุณภาพจาก: Campbell Biology, 9th ed.
vStudy Team. (เรียบเรียงโดย: สุวิชา ธงพานิช)
Website: vStudyapp.com
Facebook: http://www.facebook.com/vstudyapp
Twitter: @vStudyapp

จากผู้ผลิตสู่ผู้บริโภค (ในระบบนิเวศ)

 2
     รู้หรือไม่ครับว่าผู้บริโภคในระบบนิเวศรวมถึงมนุษย์อย่างเรา จะได้รับพลังงานถ่ายทอดมาจากสิ่งมีชีวิตที่เราบริโภคเข้าไปเพียง 1 ใน 10 เท่านั้น แต่ก็นับว่าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างมากต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ โดยสิ่งสำคัญที่จะทำให้สิ่งมีชีวิตสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้นั้นก็คือ สิ่งมีชีวิตจะต้องมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน รวมไปถึงต้องมีความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมด้วย จึงจะเกิดเป็นระบบนิเวศ (ecosystem) หรือหน่วยของความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิต และสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อมของแหล่งที่อยู่ ซึ่งจะก่อให้เกิดการถ่ายทอดพลังงานและวัฏจักรของสาร ซึ่งเป็นหัวใจหลักของทุกๆ ระบบนิเวศ ที่จะช่วยให้ระบบนิเวศนั้นๆ ดำรงสภาพอยู่ได้ตามธรรมชาติ
     สิ่งมีชีวิตจะได้รับพลังงานจากการบริโภคสิ่งมีชีวิตอื่นที่เป็นผู้ผลิต หรือผู้บริโภคลำดับต่ำกว่า โดยจะได้รับการถ่ายทอดพลังงานเพียง 1 ใน 10 เท่านั้น ซึ่งจะสามารถแสดงเป็นพีระมิดพลังงานได้เป็นพีระมิดหัวตั้งเสมอ ดังภาพ
1
     นอกจากนี้แล้ว ในระบบนิเวศหนึ่งๆ สารต่างๆ ก็จะถูกหมุนเวียนเปลี่ยนถ่ายอยู่ตลอดเวลาผ่านวัฏจักรของสสารแต่ละชนิด ซึ่งจะมีทั้งที่หมุนเวียนผ่านบรรยากาศในรูปของแก๊ส หรือไม่ผ่านบรรยากาศโดยจะปะปนอยู่ในดิน หรือน้ำ เป็นต้น วัฏจักรของสารที่สำคัญ เช่น วัฏจักรของคาร์บอน และวัฏจักรของไนโตรเจน เป็นต้น
     ดังนั้นจึงอาจสรุปได้ว่า ในระบบนิเวศพลังงานจะถูกถ่ายทอดผ่านสิ่งมีชีวิตตามห่วงโซ่อาหาร โดยจะถ่ายทอดไปยังผู้บริโภคลำดับที่สูงขึ้นไปเพียง 10% เท่านั้น ในขณะที่สสารต่างๆ จะไม่ถูกถ่ายทอด แต่จะเกิดการแลกเปลี่ยนหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลาผ่าน วัฏจักรของสสารแต่ละชนิด
vStudy Team. (เรียบเรียงโดย: สุวิชา ธงพานิช)
Website: vStudyapp.com
Facebook: http://www.facebook.com/vstudyapp
Twitter: @vStudyapp

Thursday, November 21, 2013

ฟีโรโมน

 2
     หลายคนอาจสงสัยว่าสัตว์หลายชนิดเช่นพวกแมลง ฯลฯ มันพูดไม่ได้แล้วมันสื่อการกันได้อย่างไร วันนี้ผมจะขอมานำเสนอรูปแบบหนึ่งของการสื่อการกันระหว่างสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันในรูปสารเคมีที่เรียกว่า "ฟีโรโมน (pheromone)" เป็นสารเคมีที่สัตว์ต่างๆ สร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในการสื่อสาร (chemical communication) ระหว่างสัตว์ชนิดเดียวกัน ได้แก่
     1. ฟีโรโมนทางเพศ (sex pheromone) ใช้ในการดึงดูดเพศตรงข้ามเพื่อการผสมพันธุ์ รวมถึงการเหนี่ยวนำให้สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมตัวเมียเป็นสัดและเกิดการผสมพันธ์
     2. ฟีโรโมนปลุกระดม (aggregation pheromone) ใช้ในการปลุกระดมให้เกิดการรวมกลุ่มกันขึ้นเพื่อกินอาหาร ผสมพันธุ์ วางไข่ ฯลฯ ในแหล่งที่เหมาะสม
     3. ฟีโรโมนเตือนภัย (alarm pheromone) จะปล่อยออกมาในเมื่อมีอันตรายเกิดขึ้น เพื่อเตือนภัยและส่งสัญญาณให้ตัวอื่นๆ รู้เพื่อจะได้ช่วยกันต่อสู้อันตราย
     4. ฟีโรโมนตามรอย (trial pheromone) ส่วนใหญ่สัตว์จะปล่อยสารเคมีไปกับปัสสาวะเพื่อเป็นเครื่องหมายนำทางและประกาศเขตแดน
     5. ฟีโรโมนนางพญา (queen – substance pheromone) พบได้ในแมลงสังคม ทำหน้าที่ในการควบคุมสังคม
1
ขอบคุณภาพจาก: http://jenny.tfrec.wsu.edu/opm/opmimages/MD_f1.jpg
vStudy Team. (เรียบเรียงโดย: สุวิชา ธงพานิช)
Website: vStudyapp.com
Facebook: http://www.facebook.com/vstudyapp
Twitter: @vStudyapp

ไข่ หนอน ดักแด้ แมลง

2

     หลายคนอาจจะชอบในความสวยงามของผีเสื้อ แต่กลับรังเกียจหนอนผีเสื้อ ทั้งๆ ที่มันก็คือสิ่งมีชีวิตเดียวกันเพียงแต่ระยะวัยต่างกัน ก็เหมือนกับทารกนั่นแหละครับ เพียงแต่การเจริญเติบโตของแมลงนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างไปทุกระยะ โดยรูปร่างหน้าตาของตัวอ่อนแต่ละระยะนั้นก็จะแตกต่างกันออกไป เรียกว่า "เมตามอร์โฟซิส (metamorphosis)" ซึ่งเป็นการเจริญเติบโตหลังระยะเอ็มบริย์โอของแมลงและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินน้ำสะเทินบกบางชนิด ซึ่งในแมลงนั้นโดยจะมีเมตามอร์โฟซิส 4 แบบ ดังนี้
     1. ไม่มีเมตามอร์โฟซิส (ametamorphosis) ตัวอ่อนของแมลงในกลุ่มนี้จะมีลักษณะรูปร่างเหมือนกับในตัวเต็มวัยทุกอย่าง แต่จะมีขนาดเล็ก และจะค่อยๆ เจริญเติบโตและลอกคราบจนขนาดใหญ่ขึ้นเป็นตัวเต็มวัย เช่น แมลงสามง่าม แมลงหางดีด เป็นต้น
     2. มีเมตามอร์โฟซิสแบบค่อยเป็นค่อยไป (gradual metamorphosis) ตัวอ่อนของแมลงในกลุ่มนี้จะมีลักษณะคล้ายกับตัวเต็มวัย แต่จะไม่มีอวัยวะบางอย่าง เช่น ปีก ฯลฯ แต่เมื่อเจริญเติบโตขึ้นและลอกคราบอวัยวะนั้นก็จะเริ่มเจริญขึ้น เรียกตัวอ่อนระยะนี้ว่า "นิมฟ์ (nymph)" จากนั้นก็จะลอกคราบอีกหลายครั้งเพื่อเจริญเติบโตและขยายขนาดจนเป็นตัวเต็มวัย เช่น แมลงสาบ ปลวก ตั๊กแตน เป็นต้น
     3. มีเมตามอร์โฟซิสแบบไม่สมบูรณ์ (incomplete metamorphosis) ตัวอ่อนจะมีลักษณะคล้ายแมลงในกลุ่มที่มีเมตามอร์โฟซิสแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่จะมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างมากกว่า โดยส่วนใหญ่ตัวอ่อนของแมลงกลุ่มนี้จะอยู่ในน้ำหายใจด้วยเหงือก เรียกระยะนี้ว่า "ไนแอด (naiad)" จากนั้นจะลอกคราบแล้วขึ้นมาอยู่บนบกหายใจด้วยระบบท่อลม เช่น แมลงปอ ชีปะขาว และมวนส่วนใหญ่ เป็นต้น
     4. มีเมตามอร์โฟซิสแบบสมบูรณ์ (complete metamorphosis) การเจริญของตัวอ่อนของแมลงในกลุ่มนี้จะมีการเจริญเปลี่ยนแปลงรูปร่างครบทั้ง 4 ขั้นตอน คือ ระยะที่เป็นไข่ (egg) แล้วจึงฟักออกมาเป็นระยะตัวหนอนหรือลาร์วา (larva) จะเก็บสะสมอาหารโดยการกินเป็นจำนวนมากทำให้เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเข้าสู่ระยะดักแด้ (pupa) โดยการสร้างเปลือกหุ้มตัวเองจากใยหรือเศษใบไม้ ฯลฯ และเมื่อออกจากดักแด้ก็จะเข้าสู้ระยะตัวเต็มวัย (adult) ซึ่งจะสามารถสืบพันธุ์ได้ต่อไป
1
vStudy Team. (เรียบเรียงโดย: สุวิชา ธงพานิช)
Website :: vStudyapp.com
Twitter :: @vStudyapp

Friday, November 1, 2013

สายไฟในตัวเรา


     เราต่างทราบกันดีอยู่แล้วว่า การที่เราสามารถรับรู้ รู้สึก และแสดงกิจกรรมต่างๆ ทางร่างกายได้นั้น ล้วนแต่เกิดจากการทำงานของระบบประสาทเป็นหลัก ซึ่งตัวเซลล์ประสาทจะส่งกระแสประสาทในลักษณะของความต่างศักย์ไฟฟ้า โดยมีการยื่นใยประสาทของไปสัมพันธ์กันทั่วทั้งร่างกายของเราคล้ายกับสายไฟ นั่นก็คือ เซลล์ประสาท (neuron) ซึ่งเซลล์ประสาทก็จัดเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเยื่อประสาท (nervous tissue) ซึ่งพัฒนามาจากเนื้อเยื่อชั้นนอก (ectoderm) เป็นท่อประสาท (neural tube) แล้วเหนี่ยวนำให้เกิดการสร้างโครงสร้างประสาทอื่นๆ ต่อไป เช่น เซลล์ประสาท เป็นต้น โดยที่เซลล์ประสาทจะประกอบไปด้วย ตัวเซลล์ (cell body) และแขนงประสาท (cell process) ซึ่งมี 2 ชนิด คือ เดนไดรท์ (dendrite) ทำหน้าที่รับกระแสประสาทเข้าสู่เซลล์ และแอกซอน (axon) ทำหน้าที่ส่งสัญญาณประสาทออกจากเซลล์ประสาทไปยังเซลล์เป้าหมาย ซึ่งหากแบ่งตามหน้าที่การทำงานแล้ว เซลล์ประสาทจะแบ่งได้เป็น 3 ชนิด (ดังภาพ) คือ

     1. เซลล์ประสาทรับความรู้สึก (sensory neuron) ทำหน้าที่รับความรู้สึกต่างๆ จากอวัยวะรับสัมผัส เช่น หู ตา จมูก ผิวหนัง เป็นต้น โดยจะยื่นเดนไดรท์ออกไปต่อกับอวัยวะหรือเซลล์รับความรู้สึกต่างๆ เพื่อส่งต่อไปยังระบบประสาทส่วนกลาง

     2. เซลล์ประสาทประสานงาน (interneuron) ทำหน้าที่รับกระแสประสาทจากเซลล์ประสาทตัวหนึ่งเพื่อส่งไปยังเซลล์ประสาทอีกตัวหนึ่ง เพื่อเชื่อมโยงวงจรประสาท พบที่ไขสันหลัง

     3. เซลล์ประสาทสั่งการ (motor neuron) ทำหน้าที่นำกระแสประสาทจากระบบประสาทส่วนกลางเพื่อไปสั่งการให้มัดกล้ามเนื้อหรือต่อมต่างๆ ทำงานเพื่อตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นต่างๆ หรือเพื่อหลีกเลี่ยงอันตราย


vStudy Team. (เรียบเรียงโดย: สุวิชา ธงพานิช)
Website :: vStudyapp.com
Twitter :: @vStudyapp

Monday, October 28, 2013

พลัง(งาน)ในตัวเรา ได้มาจากไหน?


     เคยสงสัยกันไหมครับว่าร่างกายของเราเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน หลายคนอาจบอกว่าจากการที่เรากินอาหารเข้าไป แต่ในความเป็นจริงแล้วอาหารที่เรากินเข้าไปนั่นต้องผ่านกระบวนการต่างๆ ในร่างกายเรามากมาย เพื่อให้ได้อนุภาคที่เล็กที่สุดและนำไปใช้เป็นสารตั้งต้นในการสร้างพลังงานมาใช้ในกระบวนการต่างๆ ในเซลล์ในรูป ATP โดยโครงสร้างสำคัญในเซลล์ที่ทำหน้าที่หลักในการสร้างพลังงานก็คือ ไมโทคอนเดรีย (mitochondria) ซึ่งเป็นโครงสร้างในเซลล์ที่ประกอบด้วยเยื่อหุ้ม 2 ชั้น คือ เยื่อหุ้มชั้นนอก และเยื่อหุ้มชั้นใน ที่พับทบไปมาและยื่นเข้าไปด้านในเพื่อเพิ่มพื้นที่ผิว เรียกว่า "คริสตี (cristae)" ส่วนบริเวณช่องว่างระหว่างเยื่อหุ้มทั้ง 2 ชั้น เรียกว่า "intermembrane space" โดยเยื่อหุ้มชั้นในของไมโทคอนเดรียจะมีโปรตีนที่เป็นองค์ประกอบของห่วงโซ่หายใจ (electron transport chain) เรียงตัวอยู่ รวมถึงยังมีมีเอ็นไซม์ ATP synthase และโปรตีนตัวอื่นๆ ที่ทำหน้าที่ในการขนส่งฝังตัวอยู่ โดยภายในของเยื่อหุ้มชั้นในเรียกว่า "เมทริกซ์ (matrix)" จะบรรจุเอนไซม์ต่างๆ อยู่

     สำหรับขั้นตอนการสลายอาหารระดับเซลล์เพื่อให้ได้เป็นพลังงาน จะเริ่มจากน้ำตาลกลูโคส (น้ำตาลโมเลกุลเล็ก) ซึ่งประกอบด้วยคาร์บอน 6 อะตอม โดยจะประกอบด้วย 3 ขั้นตอนใหญ่ๆ คือ

     1. ไกลโคไลซิส (glycolysis) จะเกิดในไซโทพลาสซึมของเซลล์

     2. วัฏจักรเครบส์ (Krebs cycle) เกิดในเมทริกซ์ (matrix) ของไมโทคอนเดรีย

     3. การส่งอิเล็กตรอนไปตามตัวรับอิเล็กตรอนต่างๆ ที่เรียกว่า "ลูกโซ่หายใจ (electron transport chain)" ซึ่งเรียงตัวอยู่ตามเยื่อหุ้มชั้นในของไมโทคอนเดรีย โดยท้ายที่สุดแล้วเซลล์จะเก็บพลังงานที่ได้ในระหว่างการสลายกลูโคสนี้ไว้ในโมเลกุลของ ATP ดังภาพ



     ขอบคุณภาพจาก: http://www.psla.umd.edu/courses/plsc400/Cells/Mitochondria.jpg

vStudy Team. (เรียบเรียงโดย: สุวิชา ธงพานิช)
Website :: vStudyapp.com
Twitter :: @vStudyapp

Sunday, October 20, 2013

กระเพาะวัว กระเพาะควาย


     “วัว ควาย” เป็นสัตว์ที่เรารู้จักกันดี เพราะอยู่คู่กับชาวไทยมานานแสนนาน และมีประโยชน์อย่างยิ่งในการเกษตรและฟาร์มนม ซึ่งสัตว์ทั้งสองนี้ต่างก็จัดเป็นสัตว์เคี้ยวเอื้อง (ruminant) หรือสัตว์ที่กินพืชเป็นอาหาร โดยจะมีการพัฒนาระบบทางเดินอาหารให้ยาวมาก เพื่อให้มีระยะเวลาในการย่อยอาหารนานขึ้น และดูดซึมได้มากขึ้น รวมถึงการมีส่วนของกระเพาะอาหารที่แบ่งออกเป็น 4 ส่วน ดังนี้

     1. รูเมน (rumen) เป็นกระเพาะอาหารส่วนแรก จะมีพวกจุลินทรีย์ที่สามารถสร้างน้ำย่อยเซลลูโลสจากพืชที่กินเข้าไปจำนวนมาก และอาหารในส่วนนี้ยังสามารถสำรอกออกมาเพื่อเคี้ยวใหม่ (เคี้ยวเอื้อง) ได้เป็นครั้งคราว ทำให้เส้นใยมีความละเอียดยิ่งขึ้นและย่อยง่ายขึ้น นอกจากนี้ พวกจุลินทรีย์เหล่านี้ยังสามารถสังเคราะห์กรดไขมันจากคาร์โบไฮเดรตและสังเคราะห์กระอะมิโนจากยูเรียได้ ก่อนจะส่งเข้าสู่กระเพาะอาหารส่วนถัดไป

     2. เรติคิวลัม (reticulum) เป็นส่วนที่ทำหน้าที่ย่อยนม ตอนที่ยังเล็กอยู่ (ยังกินนมเป็นอาหาร)

     3. โอมาซัม (omasum) ทำหน้าที่ผสมอาหาร บดอาหาร และดูดซึมน้ำจากกระเพาะอาหารส่วนรูเมน

     4. อะโบมาซัม (abomasum) เป็นกระเพาะอาหารส่วนจริงที่มีการย่อยทั้งอาหารและจุลินทรีย์ ก่อนจะส่งเข้าสู่ลำไส้เล็กต่อไป

vStudy Team. (เรียบเรียงโดย: สุวิชา ธงพานิช)
Website :: vStudyapp.com
Twitter :: @vStudyapp

Monday, October 14, 2013

เคาะหัวเข่า ไฟส่องตา


     เคยสงสัยกันหรือไม่ครับ ว่าทำไมเวลาที่เราไปพบคุณหมอบางครั้งหมอก็จะเอาค้อนอันเล็กๆ มาเคาะบริเวณหัวเข่าของเรา หรือไม่ก็ส่องไฟเข้าตาเรา ฯลฯ วันนี้ผมจะมาช่วยให้ความกระจ่างในเรื่องนี้กันครับ
การที่หมอกระทำการต่างๆ แบบนั้นกับเราก็เพื่อที่จะตรวจสอบการทำงานของระบบประสาท ในส่วนที่เป็นปฏิกิริยาตอบสนองฉับพลันหรือรีเฟล็กซ์ (reflex) นั่นเองครับ ซึ่งรีเฟล็กซ์เป็นปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายนอกเหนืออำนาจจิตใจ (involuntary) ที่เกิดขึ้นแทบทันที เพื่อตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้น เพื่อหลีกเลี้ยงอันตรายต่างๆ ซึ่งรีเฟล็กซ์ของมนุษย์จะเกิดผ่านระบบการนำกระแสประสาทที่เรียกว่า "วงจรรีเฟล็กซ์ (reflex arc)" ซึ่งจะอาศัยการทำงานของเซลล์ประสาทต่างๆ เช่น การตอบสนองต่อแสงของรูม่านตา หรือรีเฟล็กซ์บริเวณหัวเข่า (knee jerk reflex) ดังภาพ เป็นต้น


     1. หน่วยรับความรู้สึก (sensory unit) ที่ประกอบด้วย อวัยวะรับความรู้สึก (receptor) เช่น กล้ามเนื้อ อวัยวะรับสัมผัสอื่นๆ หรือ receptor cell บริเวณต่างๆ เป็นต้น และแขนงของเซลล์ประสาทรับความรู้สึก (sensory nerve process) ซึ่งจะมีตัวเซลล์ (cell body) อยู่ที่ปมประสาทรากบน (dorsal root ganglion) และยื่นแขนงประสาท (cell process) ออกไปรับสัญญาณจากหน่วยรับความรู้สึก

     2. หน่วยประสานงาน ประกอบไปด้วย เซลล์ประสาทประสานงาน (interneuron) ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการนำกระแสประสาทจากเซลล์ประสาทตัวหนึ่งไปยังอีกตัวหนึ่ง พบอยู่ในระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งในการเกิดการตอบสนองต่างๆ กระแสประสาทอาจจะผ่านหรือไม่ผ่าน interneuron ก็ได้
     
     3. หน่วยปฏิบัติงาน (motorunit) ประกอบด้วย เซลล์ประสาทสั่งการ (motor neuron) ที่มีตัวเซลล์อยู่ในระบบประสาทส่วนกลางและยื่นแขนงประสาทออกไปยังอวัยวะตอบสนอง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ในการเคลื่อนไหวของรยางค์ เพื่อสั่งการให้เกิดการทำงานหลบหลีกอันตรายจากสิ่งกระตุ้น

vStudy Team. (เรียบเรียงโดย: สุวิชา ธงพานิช)
Website :: vStudyapp.com
Twitter :: @vStudyapp